Pages

Saturday 17 March 2012

การแสดงออกของพลังงานกับความสัมพันธ์ สังเกตการณ์ผ่านภาพที่บันทึกด้วยกล้องเกอร์เลี่ยน


การแสดงออกของพลังงานกับความสัมพันธ์ สังเกตการณ์ผ่านภาพที่บันทึกด้วยกล้องเกอร์เลี่ยน

มีเรื่องสนุกๆ เบามาเล่าสู่กันฟังครับ.. Doc นี้เริ่มมากจากการรวมโพสต์ของ อ.แม่ไก่ @Kornkarn Bhamarapravati ที่นำภาพสวยๆ จากการถ่ายรูปพลังงานด้วยกล้อง Kirlian ซึ่งหลายๆ คนคงเคยเห็นภาพ แสงสีต่างๆ รอบตัวที่เรียกกันว่า Aura ที่จะเปลี่ยนรูปร่างและสีไปตามระดับจิตและสุขภาพของนาย/นางแบบ


ครั้งนี้ไม่ได้เอาภาพ Aura ที่คุ้นเคยมาให้ดูแต่เป็นภาพถ่ายพลังงานจากแค่นิ้วโป้งมาให้ดู ไม่รู้ว่าเรียกว่า Aura นิ้วได้หรือเปล่า การเชื่อมโยงและการแปลความภาพชุดแรกจะมุ่งไปที่ความสัมพันธ์ของบุคคล
โดยภาพทั้งหมดได้มาจาก  http://randyhiatt.tripod.com/Kirlianpage.html ให้ไว้เผื่อผู้อ่านต้องการตรวจสอบแหล่งที่มา


เริ่มจากการปูพื้นให้เห็นว่า ภาพถ่ายจากนิ้วด้วยกล้อง Kirlian จะเปลี่ยนไปตามความคิด ภาพซ้ายเป็นแสงจากหัวแม่มือคนสามคน ภาพขวาเป็นแสงจากคนสามคนเดิม ที่ถูกขอให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เป็นบวก สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ คือ ภาพด้านขวาเห็นความเข้มของแสงและความสมบูรณ์ โดยดูได้จากขอบที่เรียบและได้ทรงกลมที่เต็มกว่า




---------------------------------------- 

ดูภาพเดี่ยวแล้ว(เข้าเรื่อง)มาดูภาพคู่กันบ้าง

ภาพแรกเป็นภาพถ่ายนิ้วคู่สมรส ซึ่งถูกขอให้คิดเรื่องไม่ดีของอีกฝ่าย สังเกตสีและลายเส้น และโดยเฉพาะระหว่างหัวแม่มือดูเหมือนมีแถบพลังงานขีดคั่นไว้เลย ความคิดเรื่องไม่ดีน่าจะส่งผลต่อความคิดไม่ยอมรับกัน คือ เกิดอาการตั้งป้อมตั้งการ์ดขึ้นมาด้วย


---------------------------------------- 

(หลังจากยุให้สามีภรรยาเขาเกลียดกันแล้ว) ครั้งนี้คู่สมรสถูกขอให้คิดเรื่องดีๆ loving thought ดูสีสดใสและแสงชายขอบส่องสว่าง ที่สำคัญ คือ ไม่มีพรมแดนระหว่างหัวแม่มือ

สรุปคร่าวๆ ว่าถ้าสามีภรรยาคู่ไหนอยากมีรูปพลังนิ้วโป้งสวยๆ แบบนี้ก็ต้องหมั่นสร้างและสะสมความคิดดีๆ ต่อกัน เช่น ความรัก ความปรารถนาดี ความสำนึกขอบคุณ รู้คุณ (Appreciation) ความกตัญญูกตเวที การให้อภัยแบบไม่มีอะไรติดค้างคาในใจ และความรักที่ปราศจากเงื่อนไข




---------------------------------------- 
รูปชุดสุดท้าย (แอบออกแนวติด rate เล็กๆ ยังไม่ถึงกับต้องเบลอเพราะกระทำไปเพื่อการศึกษาโดยบริสุทธิ์ใจ) เป็นภาพถ่ายปลายนิ้วมือคู่สมรสมองตากันแล้วจุมพิตกัน พลังงานที่กล้องจับได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยก



---------------------------------------- 

ก่อนจบแถมเล็กน้อยอีกหนึ่งภาพ ภาพนี้เป็นภาพถ่ายเกอร์เลียนของใบไม้ ผักผลไม้ก็มีพลังงานชีวิต รูปขวาคือภาพเกอร์เลียนของใบไม้ที่ส่งความปรารถนาดีไปให้ ยี่สิบนาทีหลังปลิดใบ ปรกติแสงจะจางลง นี่คือผลของการส่งความรู้สึกดีๆ หรือการแผ่เมตตาก็น่าจะส่งผลคล้ายๆ กัน นี้อาจเป็นสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ที่เราทำให้ได้กับคน(ใจ)อ่อนแอ หรือคนป่วย ถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็ส่งความรู้สึกกันด้วยคำพูดให้สัมผัสอันอบอุ่นของเรา เรามาส่งความรักให้กันเยอะๆ ดีมั้ย ไม่ต้องสนว่าเขาเป็นใคร เป็นอะไร จะเป็นจะอยู่หรือตาย รักหมดทุกสรรพสิ่งเลย คงไม่แปลกเกินไปนับจากนี้เมื่อคุณกินอาหาร... ส่งความรู้สึกดีๆ เช่นการขอบคุณให้เกียรติรู้คุณต่ออาหารที่คุณกินทุกคำ


สุดท้ายแล้วครับ...ในพลังงานใหม่ ในช่วงเวลาที่เรารู้จักเลือก และเลือกได้ นอกจากเลือกความคิด คำพูด และการกระทำได้แล้ว อาหารก็เป็นสิ่งที่เลือกได้เช่นกัน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี คุณต้องเลือกอาหารที่มีพลังชีวิตดีๆ สูง ซึ่งพืชจะเป็นแหล่งอาหารที่มีพลังงานดีมากกว่าเนื้อสัตว์ พืชที่ปลูกด้วยระบบออร์แกนิกจะมีพลังงานดีสะสมมากกว่าพืชที่ปลูกขายทั่วไปด้วย...

....เพราะคุณเลือกได้ เลือกเลยครับ

Love Letter #3 - คุณก็รู้คำตอบ



กระซิบเบาๆกระซิบลอยลม...(เขียน Doc ไว้เป็นโพสต์นี้ก่อนเพราะต้องตอนนี้ มันรอไม่ได้) 

คนบางคนถามคำถามทั้งๆที่ตัวเองก็รู้คำตอบ... โดยเฉพาะ(แต่ไม่จำกัด)คนในกลุ่มนี้..ดังนั้น ผมแนะนำว่าเมื่อถามแล้วรอฟังคำตอบของตัวเองเลยครับ.. 

I AM that i am.
I AM no separated from the others(which is illusion)..
I AM INFINITE LIGHT and I AM INFINITE LOVE... 
Dear ME my infinite intelligence ... Tell me now....

ปล1.. ถ้าไม่ได้คำตอบก็อย่าเข้าใจผิดเพราะนั่นคือคำตอบ คุณกำลังตอบตัวเองว่า.. คำตอบของคำถามนั้นยังไม่ต้องใช้ตอนนี้ คุณจะรู้เองเมื่อเวลามาถึงปล2. กรุณาอย่าใช้มุข ปล1.นี้กับคำถามโลกๆหรือตอนเข้าไปสอบในโรงเรียน และอย่าเอาผมไปอ้างกับคุณครูเชียว

Wednesday 14 March 2012

Love Letter #2 - กฏแห่งกระจกเงา



การคาดหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเรานั้นเป็นปัญหาของทุกคนครับ... ผมเองก็เป็นคนนึงที่เข้ามุมมืดวันละหลายครั้งเมื่อคุยกับหลายๆคนรอบข้าง..โดยเฉพาะคุณลูกชายสุดหล่อ..

ในทางกลับกัน..การคิดว่าเราเข้าใจผู้อื่นดีแล้วก็เป็นอีกปัญหาที่ทุกคนมีแต่มักไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับ.. เราเข้าใจถูกตรงหรือไม่ก็ไม่มีใครบอกได้.. เวลาผมสำรวจตัวเองตอนที่มีวาทะกรรมกับลูกก็พบประจำว่าเราเอาประสบการณ์และกรอบความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง สุดท้ายก็ถึงข้อสรุปว่า สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจ(เขา) ที่จริงเราเห็นเงาสะท้อนความคิดของตัวเอง....สำหรับปุถุชนคนเดินดินนั้น..​สิ่งที่เราเห็นและรับรู้ถึง ผู้คน-สิ่งของ-เรื่องราว ต่างๆรอบตัวล้วนเป็นเงาความคิดตัวเอง..แน่แท้จนอยากจะเรียกว่าเป็นกฏแห่งกระจกเงากันเลย

ผมอยากให้มองฉากการตูนขำๆ..มีชายหญิงยืนหันหน้าทะเลาะกันโดยมีกระจกเงากั้นระหว่างสองคนนั้น... ทั้งชายและหญิงคู่นั้นอาจไม่รู้ว่าทะเลาะด่าว่าความเป็นตัวเขาเองอยู่ แต่คนนอกมองเห็นภาพรวมทั้งชายทั้งหญืงทั้งกระจกเงา...คุณว่าน่าสงสารมั้ย...

ความเข้าใจซึ่งกันและกันจึงเป็นความคาดหวังที่สูงเกินกำลังมนุษย์เดินดิน... นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกล้มที่จะเข้าใจกันและกัน แต่ต้องเข้าใจความไม่สมบูรณ์แบบหรือความพิการของตัวเราเองก่อน จากนั้นดูซิว่าเรายอมรับตัวเองได้หรือไม่ในความไม่สมบูรณ์แบบนี้ เมื่อเรายอมรับความพิการของเราได้แล้ว เราก็จะยอมรับคนอื่นได้ง่ายขึ้น เพราะ
1.ยอมรับความพิการได้ว่าไม่น่ารังเกียจ เพราะเรายอมตัวเองง่ายกว่ายอมคนอื่น
2.ยอมรับเพราะเราพิการเหมือนกัน  เพราะความเหมือนจะทำให้เป็นพวกเดียวกัน เป็นจุดร่วมที่ต่อยอดเป็นความรักสามัคคี
3.ยอมรับความพิการของเขาที่เราเห็นก็คือตัวเราเอง  เป็นไปตามกฏแห่งกระจกเงา
เมื่อยอมรับตนเองได้ก็ยอมรับผู้อื่นได้แล้ว จากการ ยอมรับตนเอง ก็ขยับเป็นความเข้าใจตนเอง เป็นความรักตนเอง เป็นการให้อภัยตนเอง และเป็นการให้โอกาสตนเอง...  ทั้งหมดนี้ต้องให้กับตัวเองก่อนเสมอ... เมื่อให้ตัวเองได้อย่างนี้แล้วจึงสะท้อนออกไปให้ผู้อื่น คือ ยอมรับเขาและเข้าใจเขา(ในความพิการที่เหมือนเรา)  รัก ให้อภัย และให้โอกาส ได้โดยไม่รู้สึกเสียเปรียบหรือโดยเอาเปรียบ ซึงเป็นความจริงในมุมมองของเรา.. 

วันนี้ผมเขียนถึงความไม่สมบูรณ์แบบหรือความพิการในความหมาบติดลบพอควร... เลยขอปรับพลังงานเล็กน้อยในความเข้าใจเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์นี่ว่าไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่เป็นกลยุทธ์ของใครไม่ทราบที่สร้างสิ่งนี้ไว้ให้เป็นเหตุของความเข้าใจกันและกัน(ในความพิการที่เหมือนกัน).. .. คือในทางตรงช้าม..ถ้าใช้กลยุทธ์มอบความสมบูรณ์แบบให้เหมือนกันทุกคน เราจะหาโอกาสในความเห็นอกเห็นใจกัน(compassionate)ได้จากที่ไหน .. จริงมั้ยครับ..



รักตัวเองได้ก็จะรักคนอื่นได้เช่นกันครับ...ขอให้สนุกกับการทดลองส่องเงาตัวเองในผู้คนรอบๆตัวครับ... 


KindParticle@AscensionThailand




Monday 12 March 2012

Love Letter #1 - อย่าทุกข์เลย


ความทุกข์(ใจ)ปลอมตัวมาได้หลายลักษณ์ ในความรับรู้ทางอุณหภูมิบางทีก็ ร้อนบ้าง หนาวบ้าง เย็นชืดบ้าง รับรู้ทางแรงกระทำก็ ผลักบ้าง ดึงดูดบ้าง กดดัน(ในสู่นอก/นอกสู่ใน)บ้าง บิดบ้างฉีกบ้างก็มี ยิ่งเราวิวัฒน์ไปเรื่อยๆ การจัดแยกแยะจะยากมากขึ้นตาม

คำถามมีอยู่ว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ที่จะต้องแยกแยะให้ได้ คำตอบคือไม่ แต่... ถ้าแยกได้ ก็จะจำได้ ก็จะรู้ตัวง่ายขึ้น การรู้ตัว(ว่าทุกข์)นี่หละคือ bottom line จะรู้ชัดหรือไม่ชัดก็ขอแค่ให้รู้ว่าทุกข์ก่อนเป็นต้นทางที่ถูกตรงแล้ว การตั้งต้นให้ถูกนั้นเองก็ไม่ได้มีจุดหมายเพื่อให้เดินออกจากทุกข์ได้ (ทำไมหละ!!! วันหลังค่อยว่ากัน)

ร่ายซะยาวนี่ไม่ใช่ว่าจะสอนธรรมมะท่านๆหรอก...เพียงแต่เป็นห่วงเพื่อนหอไฟและเพื่อนประภาคารที่กำลังอับเกรดเฟิร์มแวร์กันอย่างขมักเขม้น บางทีก็อัปผิดบ้าง บางที่อัปเกรดนานก็เป็นทุกข์เป็นร้อน อัปไปแล้วก็ว่าช้าบ้างหาของหาปุ่มไม่เจอใช้ไม่เป็น จึงต้องออกมาเตือนกัน ให้กำลังใจกันเป็นระยะไม่ให้ลืมกัน

ก่อนคุณเดินคุณต้องรู้ว่าเส้นทางนี้คนเดินยังน้อย มันขรุขระ พวกรับเร็ว (Early adoptor) อย่างเราท่านนั้น บางคนมีหน้าที่มากรุยทางติดป้ายทำแผนที่และคู่มือ บางคนมาเอาความมันส์แบบขับรถออฟโร้ด อดินาลินพลุ่งพล่านแล้วรู้สึกมีชีวิต ไม่ว่าจะมาทำมัย ขอจงได้รับความรักและความเคารพจากผม นายแน่มาก...

อาการเมารถเมาเรือถ้ามี.."ให้เห็นว่ามี" (ก็ถนนมันขรุขระอยู่).. บางคนเหงา..บ้างหงุดหงิด..บ้างก็มีอาการทางกายร่วมด้วย อย่ากลัวครับ.. อย่างมากก็แค่ตายไม่น่ากลัวนะ ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าให้ทนไปนะขอรับ งัยก็ต้องดูแลจัดการไปตามสมควร..

อาการทางกายปวดหัวเป็นหวัดก็ต้องไปหาหมอกินยาเพื่อส่งสัญญาณบอกร่างกายว่าเราจะดูแลกันไม่ต้องห่วง...แต่ให้พึ่งยาพึ่งเทคโนโลยี่ให้น้อยลง ดูแลตัวเองมากขึ้นโดยการดีท๊อกซ์กาย-ความคิด-พลังงาน กินให้ครบ พักให้พอ อาการที่เหลือก็ให้ถอยออกมาดู จ๊ะเอ๋แล้วบ๊ายบาย ด้วยความรักและขอบคุณ

สัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องมือสำคัญมาก เหรียญมีสองด้าน น้ำครึ่งแก้วก็มีสองครึ่ง .. ยกตัวอย่างความเหงา "loneliness could be delivertive of detaching which is FREEDOM in disguised... ความเหงาอาจเป็นผลพลวงจากการแยกตัวซึ่งที่จริงแล้วเป็นอิสรภาพปลอมตัวมา" แต่ต้องเข้าใจให้ถูกด้วยว่าการแยกตัวที่ถูกคือการลดการให้น้ำหนักกับความคิดติดป้ายของคนในสังคม ไม่ใช่การแยกตัวออกจากสังคมและเพื่อนๆ..

อย่าลืมครับ.. นึกอะไรไม่ออกบอก "สัมมาทิฏฐิ" ก่อน

สวัสดี

KindParticle@AscensionThailand

Wednesday 7 March 2012

หายใจไปด้วยกัน


หายใจไปด้วยกัน


คุณทราบหรือไม่ว่าคนเราเกิดมาหายใจเฮือกแรกคือหายใจออก... และเฮีอกสุดท้ายก็จบที่หายใจออกเช่นกัน...

ใครได้อ่านข้อความนี้อยู่...หายใจไปด้วยกันนะครับ...

หายใจออก...ความเครียดที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก จากหัวจรดเท้า คลายออกให้หมด ปล่อยหมด วางหมด...ของเสียและส่วนเกินขอคืนให้ธรรมชาติ ไม่เอาก็ได้นะกายนี้ แต่ขอบคุณเธอเหลือเกินที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอด

หายใจเข้า... ดื่มพลังงานแห่งชีวิต อุดมด้วยรักอันอ่อนโยนและไร้เงื่อนไข ไหลผ่านทุกส่วนของร่างกายจากแกนในสู่เส้นประสาทเนื้อเยื้อกล้ามเนื้อผิวหนัง เพื่อนรัก...เราจะดูแลกันและกัน

หายใจออก...ม่านหมอกความคิด ความร้อนรุ่ม การตัดสินติดป้ายทั้งปวง คลายออกหลุดออกไปพร้อมลมหายใจออก ธาตุความคิด...เหนื่อแล้วเธอพักได้ ขอบคุณเธอเหลือเกินที่เป็นผู้นำมาตลอด

หายใจเข้า... เติมพลังงานแห่งชีวิต อุดมด้วยรักอันอ่อนโยนและไร้เงื่อนไข ยังความกระจ่างชัดของการรับรู้ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ณ ปัจจุบันขณะ เพื่อนรัก...ต่อไปนี้เราเดินไปพร้อมกัน

หายใจออก...(เพราะ)ลมหายใจออกนี้(อาจ)เป็นลมหายใจสุดท้าย...ฉันพร้อมและขอต้อนรับวาระนี้ด้วยความยินดียิ่ง..ขอแสงสุกสว่างด้วยรักและปัญญาจากทุกมิติเป็นกำลังและเป็นพยาน ลมหายใจสุดท้ายนี้แทนดอกกุหลาบบอกรัก ขอขมา และสำนึกในบุญคุณ ฉันขอโทษทุกจิตวิญญาณที่เคยล่วงเกินสร้างความขุ่นข้องเดือดร้อนทุกข์ใจ .. ขอบคุณที่เสียสละมอบบทเรียนแห่งรักแม้ว่ามันจะยากหรือเจ็บปวดเพียงใดสำหรับเธอ

.......ภาระไม่มี(จริง) พันธะก็ไม่มี(จริง) ฉันรู้แล้วว่าโซ่ตรวนเหล่านั้นเป็นภาพลวงตา ฉันเป็นอิสระแล้ว สู่ภาวะไร้ขีดจำกัดของเวลาและสถานที่ ได้กลับบ้าน(ที่ไม่เคยจากมา)ซะที

หายใจเข้า... ฉันคือแสงสว่าง ฉันคือความรัก ฉันคือปัญญา ... ส่องยิ้มให้เพื่อนประภาคารและสรรพสิ่ง และรู้ว่าเธอก็กำลังทำเช่นเดียวกัน ฉันรักและยกย่องคารวะเธออย่างที่เธอเป็นเธอ ด้วยอิสระจากพันธะลวงตาทั้งปวง..ฉันพร้อมรับประสบการณ์และบทเรียนแห่งรัก ฉันพร้อมแล้วที่จะสร้างความจริงของตัวเอง

.......ฉันคือแสงสว่าง ฉันคือความรัก ฉันคือปัญญา I AM THAT I AM



-อนุภาคใจดี

Saturday 11 February 2012

เจ้าหนูมาร์ล่า... จี๊ดๆ [นิทานต่างมิติ]


มาร์ล่าเป็นหนูน่ารัก เธออาศัยอยู่ในเมืองแห่งหนูกินดีอยู่ดีแสนจะมีความสุข แต่ มาร์ล่าฝันถึงเรื่องราวที่เธอไม่เข้าใจบ่อยๆ ในฝันนั้นเธอลอยขึ้นไปบนฟ้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างที่ยากจะอธิบาย ด้วยความที่เป็นหนูช่างสงสัย เธอจึงถามหนูพระเจ้าว่า "จี๊ด..จี๊ด.." (ผมรู้ว่าคุณฟังไม่ออก.. ใจเย็นครับ เดี๋ยวแปลให้)

"ท่านเจ้าขา..ความฝันเหล่านี้มันคืออะไรเจ้าค้ะ ดิฉันสนใจใคร่รูู้้มากเลย" มาร์ล่าถาม ทันใดนั้นเอง...หนูนางฟ้าที่มีปีกปุกปุยสองนางก็ปรากฏตััวขึ้นแล้วพูดว่า "มาร์ล่า เรามาพาเธอไปดูว่าความฝันของเธอคืออะไร.. เธออยากไปดูมั้ยจ้ะ มาซิมากับพวกเรา" ..

"ไปเจ้าค่ะ..ไปๆ" มาร์ล่าตอบ

"จี๊ดๆ.. ดีมากจ้ะ แต่ต้องเตือนเธอก่อนนะว่าการเดินทางนี้ เธอจะไม่ได้เธอเพื่อนๆเธอนานทีเดียว แล้วมันก็ไม่ง่ายนัก เพราะเราต้องปีนเขาไปอีกหลายลูกเลย" นางฟ้าอธิบาย

"ไม่เป็นไร.. รีบไปกันเลย ฉันอยากรู้จะแย่แล้ว.. จี๊ดๆ" มาร์ล่ารีบตอบอย่างตื่นเต้น

ดังนั้นนางฟ้าจึงเดินจูงมือมร์ลา เริ่มออกเดินทางออกจากเมืองแห่งหนู นางฟ้าพูดถูก มีหลายครั้ง้ลยที่มันเหงาและยากลำบากจนมาร์ล่าอยากจะล้มเลิกการเดินทาง จริงๆมันก็ง่ายที่จะยอมแพ้เอาหางจุก-ูดกลับบ้าน (ผู้แปล.. ขออภัยที่ต้องเซ็นบางๆ บางทีครายออนก็เล่านิทานด้วยสำนวนที่เห็นภาพจนเกินไปนิดส์) แต่มอร์ลาก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอเดินไปข้างหน้าทีละวันๆแม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม

ระหว่างทางมาร์ล่าสังเกตุว่ามีหนูตัวอื่นๆที่มีฝันที่ยากจะอธิบาย แล้ว่ก็ถามพระเจ้าเหมือนที่เธอทำ หนูขี้สงสัยทั้งหมดนี้ก็ปีนขึ้นเขาต่อๆกันเป็นขบวนยาวเหยียด หนูบางคนก็เดินทางมาก่อนมาร์ล่าซะอีก หนูบางคนก็ล้มเลิกไปก็มีเพราะรู้สึกว่ามันยากลำบากเกินไป บางคนก็คิดถึงเพื่อนๆคิดถึงบ้านแล้วตัดสินใจกลับไป แต่ก็มีหนูไม่น้อยที่ไม่ยอมแพ้ ยังคงเดินตามนาฟ้าหนูเพื่อค้นหาความหมายแห่งฝันอันงดงามที่พวกเขาฝันถึง

ในที่สุดก็มาถึงยอดเงื้อมผาใหญ่ มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน แต่ความเหน็ดเหนื่อยก็ถูกเอาชนะโดยความปรารถณาอันแรงกล้าที่จะใขปริศนาแห่งความฝันอันวิจิตนั้นให้ได้

บนเงื้อมตระหง่านนั้น..หนูทั้งหมดยืนเรียงหน้ากระดาน สิ่งที่เขาเห็นคือมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน กลิ่นน้ำทะเลที่พัดโชยมากับลมทะเลมันช่างน่าหลงไหลและดึงดูดอย่างประหลาด มาร์ล่าและเพื่อนๆตื่นเต้นมากเพราะพวกเขารู้ว่าบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

นางฟ้าหนูเริ่มพูด .. "จี๊ดๆ.. เรามีเรื่องที่จะเฉลย ที่จริงพวกเธอไม่ได้เป็นหนูหรอก จริงๆแล้วเธอเป็นปลา"

เรื่องนี้ทำให้มาร์ล่าอึ้งไปพักใหญ่ "แต่ฉันไม่แน่ใจว่าฉันอยากเป็นปลาหรือเปล่านี่..จี๊ดๆ" ดังนั้นนางฟ้าจึงแสดงให้มาร์ล่าดูว่าเขากำลังพูดถึงปลาแบบไหน เราเป็นปลาตัวใหญ่ ใหญ่กว่าหนูซักร้อยเท่า ยิ่งใหญ่สูงส่งสง่างามเรืองแสงสีเงินยวงและมีประกายระยิบระยับ ทำเอามาร์ล่าตะลึงจนอ้าปากค้างอีกครั้ง เธอได้รู้แล้วว่าในความฝันนั้น เธอคือปลาที่ยิ่งใหญ่นี้ที่แหวกว่ายเล่นน้ำ ทะยานขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็ดำดิ้งลงใต้พื้นน้ำด้วยพละกำลังจากกล้ามปลาอย่างอิสระ ไร้ซึ่งขีดจำกัดทั้งปวง แค่ขยับหางเบาๆก็ส่งตัวไปไกลหลายหลาแล้ว มันช่างเป็นอิสรเสรีที่เกินบรรยายแน่ๆที่ได้แหวกว่ายล่องลอยอยู่ในน้ำแบบนั้น มาร์ล่ารู้สึกแล้วว่านี่แหละคือที่ที่เธอจากมา ที่นี่คือบ้าน

ขณะที่พวกหนูทั้งหมดที่นั่นได้รับรู้และเข้าใจเรื่องราวไปพร้อมๆกัน ไกลออกไปในมหาสมุทรก็มีปลามากมาย เชิดหัวขึ้นโบกครีบไปมาเรียกพวกเขาใหญ่เลย .."เฮ้.. ทางนี้ๆ จำฉันได้เปล่า เราเคยเป็นเพื่อนหนูกันนะ"

มาร์ล่าจำปลาบางคนได้ "จำได้ซิ.. ฉันเคยสงสัยเหมือนกันว่าพวกเธอจู่ก็หายไปไหน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว"

หลังจากปล่อยให้ตำลึงไปยกแรก...นางฟ้าหนูเฉลยต่อ "นี่ไม่ใช่เพียงแค่ไขความหมายแห่งความฝันของพวกเธอเท่าน้นหรอก เธอได้รับรางวัลจากการเดินทางมาที่นี่อีกด้วย  เพียงแต่บอกว่าเธอต้องการ.. ถ้าเธอเลือก เธอจะได้กลับไปเป็นปลาผู้สง่างามนั้นเดี๋ยวนี้ เธอจะได้กลับไปอยู่ในหมู่เพื่อน ไปมีชิวิตที่ยืนยาว เธอได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้"

มาร์ล่ามองเพื่อนหนูสามตัวกระโดดลงไปในมหาสมุทรทันที มันมหัศจรรย์มาก ราวกับว่าพวกเขาถอดชุดหนู แล้วก็กระโดดลงน้ำไป มาร์ล่าคิดแล้วถามนางฟ้าของเธอถึงคนอื่นๆที่ยังอยู่ในเมืองว่าพวกเขาจะมาที่นี่หรือเปล่า

"ไม่หรอก นี่ไม่ใช่สำหรับหนูทุกตัว พวกเขาต้องขอเหมือนที่เธอขอ ถามเหมือนที่เธอถาม และต้องตระหนักรู้ถึงการค้นหาภายใน" นางฟ้าคนนึงตอบ

"แล้วพวกเขาจะรู้ได้งัยว่านั่นคือสิ่งที่ต้องทำ" มาร์ล่าถามต่อ "ก็ผ่านความฝัน และความตื่นรู้" นางฟ้าตอบ

มาร์ล่าถามคำถามที่สำคัญมาก "ถ้าฉันเลือกที่จะกลับไป แล้วช่วยพวกเขาใหตื่นรู้หละ ฉันจะยังได้เป็นปลาอยู่มั้ย"

นางฟ้าปลาหนู "ได้ซิ..ได้ทุกเมื่อหากเธอต้องการ ที่จริงแล้ว เธอสามารถเป็นปลาตอนนี้เลยแล้วก็ไปช่วยเพื่อนๆในเมืองได้ด้วย"

"ฉันจะอยู่สองที่ในเวลาเดียวกันได้งัย" มาร์ล่าถามด้วยความสงสัย "รูปร่างปลาของฉันจะไม่ทำให้พวกหนูในเมืองตกใจกันหมดเหรอ"

"ถือว่าเป็นการเริ่มเข้าโครงการฝึกอบรมนางฟ้าปลาหนูเลยแล้วกัน จี๊ดๆ เธอจะเข้าใจในไม่ช้า ถ้าเธอกลับเข้าเมืองอย่างปลา หนูเมืองบางคนจะปฏิเสธเธอ เพราะเขาไม่สามารถเห็นความเป็นปลาของเธอ แต่เขารู้แต่ว่าเธอแปลกและไม่เหมือนพวกเขา การอยู่สองที่หรือเป็นสองอย่างในเวลาเดียวกันมันไม่ง่ายนะ มันก็ขึ้นอยู่กับเธอนั่นเองที่จะเลือกแบบไหน มาอยู่กับเรามั้ยหละ" พูดเพียงแค่นั้นแล้วนางฟ้าปลาหนูก็กลายร่างเป็นปลา และหายไปในมหาสมุทรพร้อมคนอื่นๆ
--------------------------
ถ้าเป็นนิทานก่อนนอนทั่วไป พอเรื่องถึงตรงนี้ มาร์ล่าก็น่าจะเลือกเป็นปลาและมีความสุขไปชั่วนิรันดร์ แต่ในเรื่องนี้ นางฟ้าปลาหนูให้มาร์ล่าเลือก เราจะหลุดเรื่องไว้เพียงแค่นี้

เราหวังว่าคุณจะเข้าใจสาระสำคัญของเรื่อง ในพลังงานใหม่ คุณบางคนจะต้องเลือกระหว่างการจบสิ้นภารกิจในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก ในอีกทางเลือกหนึ่ง คุณจะยังคงสถานะเดิมและรับใช้มนุษย์ชาติต่อไป และที่สำคัญอย่าเข้าใจผิดว่าทุกคนจะต้องโดนบังคับให้ตัดสินใจ โปรดรู้ว่าคุณจะได้รับความนับถือ ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด คุณต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และเมื่อถึงเวลาคุณจะรู้เองว่าต้องทำอะไร ดังนั้นคำตอบของมาร์ล่าขึ้นอยู่กับใจของคุณ นั่นเป็นกระบวนการยกระดับในพลังงานใหม่

Friday 10 February 2012

อานิสงค์แห่งทุกข์

อานิสงค์แห่งทุกข์
  1. คุณทราบหรือไม่ว่าธรรมะที่สำคัญระดับฉุกเฉินเร่งด่วน ขนาดว่าการดับไฟที่ใหม้หัวยังสำคัญน้อยกว่าเรียนธรรมะข้อนี้ ธรรมะข้อนี้ให้ความสำคัญกับการ "รู้" ทุกข์เป็นอันดับแรก เมื่อรู้อย่างนี้ก็ไม่ต้องวิ่งหนีทุกข์(ที่ใจ)กันแล้ว ขยันสอดส่องหาความทุกข์ไม่ว่ามันจะซ่อนหรือถูกซ่อนไปอย่างเนียนก็หามันให้เจอ เจอทุกข์แล้วให้ทัก ทักแล้วรีบลา ลาแล้ว(ยิ้ม)รอทุกข์รอบใหม่ ซ้อมกระบวนท่านี้เป็นประจำ วิกฤตแห่งทุกข์ของคุณก็จะเป็นโอกาสและความสุขได้ไม่ยาก
  2. คุณทราบหรือไม่ว่าเราเรียนรู้และเติบโตจากความสุขได้น้อยมากหรือไม่เลย แต่ตรงกันข้าม เราสามารถเรียนรู้และเติบโตจากความทุกข์อย่างมากมาย มุมมองนี้อาจจะฟังดูขัดๆแต่มันเป็นธรรมชาติเช่นนั้นครับ คุณลองดูของมีค่าตามธรรมชาติว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพชรมีสารตั้งต้นคือถ่านแต่ถูกกระทำด้วยความร้อนและความดันหลายพันปี ถ่านจึงถูกเปลี่ยนเป็นเพชร คนก็เช่นเดียวกัน ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงต้องผ่านความล้มเหลงมาแล้วหลายครั้ง มีคนคนทำสถิติด้วยครับว่า เศรษฐีเจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ จะต้องทำบริษัทแล้วเจ๊งโดยเฉลี่ย 7 ครั้ง



ขอยกกรณีตัวอย่างของการฝีกฝนผ่านความทุกข์ โดยใช้พลังแห่งความรักช่วยผลักดัน ผลที่ได้มิใช่เพียงความแข็งแกร่งของกายและใจ ผมว่าเขาได้รับรางวัลแห่งชีวิตหรือะไรที่ยิ่งกว่านั้นซะอีก เป็นกรณีของครอบครัว Hoyt ... คุณพ่อ Dick (Hoyt) คุณแม่ Judyมีลูกชายขื่อ Rick Rick ซึ่งขาดอ็อกซิเจนตอนเกิดจนพิการทางสมอง Rick พูดไม่ได้เดินไม่ได้ ไม่มีทางมีชีวิตปกติ ผมคิดไม่ออกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะทุกข์ซักขนาดไหนที่มีลูกพิการ Dick และ Judy ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเหมือนคนปกติ จนได้เข้าโรงเรียน อายุ 15 Rick อยากวิ่งการกุศลหาทุนช่วยเพื่อนที่เป็นอัมพาต Dick จึงตกลงแข่งร่วมกับลูกชายที่นั่งในรถเข็น เมื่อเขาวิ่งพร้อมรถเข็นเข้าเส้นชัย Rick ก็พูดกับพ่อว่า "พ่อครับ...ตอนผมลงแข่ง ผมไม่รู้สึกว่าผมเป็นคนพิการเลย"
ด้วยจุดเริ่มต้นตรงนั้น.. Dick และ Rick ก็ลงแข่งวิ่งมาราทอน อีกหลายสนาม รวมทั้งแข่งไตรกรีฑา "คนเหล็ก" ที่แม้แต่คนธรรมดายังเอาตัวไม่รอด รางวัลให้ชีวิตที่ Dick ได้รับ ไม่ใช่เพียงแค่ความสุขที่สามารถทำให้ Rick ไม่รู้สึกถึงความพิการของเขา แต่ยังมีอีกอย่างคือ ... หมอตรวจพบความผิดปกติทางหัวใจ หมอบอกว่า ถ้าเขาไม่วิ่งเพื่อลูก จนร่างกายแข็งแรงขนาดนี้ เขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว
จนถึงวันนี้ ครอบครัว Hoyt ก็ยังลงแข่งไตรกรีฑาอยู่ ทั้งคู่ยังไม่คิดจะเลิก
  1. ทุกข์คือตัวสร้างและคัดกรองเพื่อนแท้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเพื่อนกินเที่ยวหาง่าย เพื่อนตายหายาก แม้ว่าคุณจะมีเพื่อนมากมายแวดล้อมตัวคุณในวาระแห่งความสุขต่างๆ แต่จะมีสักกี่คนในกลุ่มนี้อยู่กับคุณในยามที่คุณไม่มีอะไรเหลือมอบให้พวกเค้าได้ และจำนวนมันจะน้อยลงไปอีกที่จะยังอยู่กับคุณในยามลำบากหรือมีความทุกข์ต้องการความช่วยเหลือจากเขา และจะน้อยลงที่สุดถ้าเขาต้องเสียสละเพื่อคุณ ดังนั้นในยามที่มีความทุกข์ ที่คุณอาจเหลือเพื่อนเพียงไม่กี่คนอยู่ข้างกาย อย่าเสียใจ เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่คุณได้อยู่กับคนที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองที่สุดแล้ว ที่จริงคุณอาจจะแปลกใจที่เพื่อนที่ไม่เคยอยากร่วมสุข กลับเป็นคนที่พร้อมจะร่วมทุกข์กับคุณมากที่สุด .. บางที่ชีวิตก็สวยงามเบ่งบานในเวลาที่เราไม่คาดฝัน
  1. ซักวันคุณอาจจะได้เป็น Hero ...คุณทราบมั้บว่า Hero ของผมหลายคนเป็นคนพิการ


อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ตอนอายุ 24 เขาประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้นที่ก้นสระว่ายน้ำ ชาไปทั้งตัวเป็นอัมพาต คงไม่ต้องอธิบายว่าความทุกข์บีบคั้นทั้งกายทั้งใจขนาดไหน ปัจจุบัน "จิต" ลาออกจากความพิการและความทุกข์แล้ว และเป็นนักพูด ผู้บรรยายธรรมที่มีชื่อเสียง



Nick Vujicic เกิดมาพร้อมความพิการไม่มีแขนขา ปัจจุบันเขาเป็นนักพูดสร้างกำลังใจ บรรยายให้ผุ็ฟังกว่า 3 ล้านคนใน 24 ประเทศ 5 ทวีป


Hero ของผมทั้งสองท่านก็ฝ่าผ่านความทุกข์มากได้อย่างสง่างามและสุดภาคภูมิ ผมไม่ได้ขอหรืออยากให้คุณเป็นคนพิการ แต่คุญควรภูมิใจว่า เมื่อคุณผ่านด่านทุกข์สำเร็จไปได้ คุณก็พร้อมจะเป็นวีระบุรษของใครซักคนแล้วครับ
  1. สุดท้าย ทุกข์ซ้ำๆ คือโอกาสของการฝึกฝน ถ้าคุณเป็นเด็กขี้เกียจ การฝึกจะเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อมาก แต่กับมืออาชีพ โอกาสได้ฝึกฝนก่อนลงแข่งจริง เป็นสุดยอดปรารถณาเลย เพราะคุณรู้ว่าเมื่อการแข่งครั้งสุดท้ายมาถึง คุณจะลงแข่งด้วยความพร้อม และจะได้รับชัยชนะทีงดงามที่สุด ..... คุณต้องเลือกหละว่าจะเป็นคนขี้เกียจ หรือเป็นมืออาชีพ

มาถึงตรงนี้...คุณรู้สึกดีกับความทุกข์ขึ้นมาบ้างหรือยัง อยากออกไปลุยกับความทุกข์แบบมืออาชีพ เพาะบ่มเพชรในตัวคุณแล้วหรือยังครับ
ก่อนผมจะจบบทความนี้ ผมขออนุญาติแอบบอกความลับของจักรวาลให้คุณรู้อีกหน่อย.. คุณทราบมั้ยว่าทุกคนเกิดไม่ได้มาคนเดียว พระเจ้ามอบคนนำทางมาให้พร้อมเพื่อนร่วมทางมาด้วยเสมอ..แต่มนุษย์กลับเลือกที่จะเดินเหงาๆคนเดียว ....น่าขำปนน่าสงสารมั้ยครับ ขอเถอะ อย่าอยู่คนเดียวเลย มองรอบๆตัว เปิดตาเปิดใจให้เพื่อนได้้มีโอกาสเขาได้ทำหน้าที่ ตัวคุณเองก็เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมทางของใครซักคนเช่นกันดังนั้นถือโอกาสทำหน้าที่นั้นเองด้วย ขอให้มีความสุขอยู่กับการรู้ทันทุกข์มากๆนะครับ