Pages

Monday 30 January 2012

เปลี่ยนแง่คิด ชีวิตเปลี่ยน เข้าใจพลังงานที่ขับเคลื่อนจักรวาลว่าเป็นพลังงานความรัก



By Kornkarn Bhamarapravati in Ascension Thailand 

by Kornkarn Bhamarapravati on Wednesday, July 13, 2011 at 12:50am

ผู้ เขียนถูกเลี้ยงมาให้อยู่กับความกลัวคนที่เขาสอนให้เรากลัวก็ไม่รู้ตัวว่าให้ อะไรกับเรา กลัวพ่อแม่ไม่รัก กลัวครูไม่รัก  กลัวสอบไม่ได้ที่ ๑  (แล้วแม่จะไม่รัก) กลัวเอ็นไม่ติด กลัวพ่อแม่เสียใจ   ทางศาสนาก็บอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม (เกิดมาก็ติดลบแล้ว  เมื่อไหร่จะใช้หมด)  ตอนนี้ก็มีข่าวภัยธรรมชาติ น้ำจะท่วม แผ่นดินไหว  สึนามิจะมา  เลยมานั่งคิดว่านี่หรือคือชีวิต ติดอยู่กับความกลัว

เคยถามลูกชายว่า เขาเกิดมาทำไม เขาบอกว่าเกิดมาเพื่อหาประสพการณ์

ได้ ยินจากผู้รู้ต่างประเทศว่า จิตเดิมแท้ของเรานั้นยิ่งใหญ่มากค่า  แต่เรามาเกิดเป็นมนุษย์โดยมีข้อจำกัดของม่านกำบังระหว่างมิติโลกกับ  "บ้านที่จากมา" พลังงานจากรังสีคอสมิคในปัจจุบันลดความหนาของม่าน  ทำให้บางคน หรือรุ่นเด็กๆ สัมผัสข้อมูลต่างมิติ ข้อมูลข้ามชาติภพ  ข้อมูลสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้มากขึ้น  การสัมผัสนี้เดิมได้มาโดยผู้ปฏิบัติจิตขั้นสูง เช่นนักบวช  แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่มนุษย์โลกทุกคนเข้าสู่โค้งสุดท้ายแห่งการกลับบ้าน  จะเดินช้า เดินเร็ว หรือเดินวนไปมาเท่านั้น  แต่เป็นการกลับบ้านที่บ้านมาอยู่กับเรา  ไม่ใช่การกลับบ้านที่ต้องทิ้งสังขารคืนแม่พระธรณี   คือเมื่อจิตสั่นสะเทือนระดับละเอียด  ไม่เปลืองพลังงานในการยึดติดอารมณ์ทั้งหลาย  เป็นผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปโดยไม่ต้องตัดสิน อยู่กับปัจจุบันขณะ  ไม่ยึดอัตตาแห่งมายาสามมิตินี้  จิตเต็มไปด้วยความรักตนเองรักผู้อื่นโดยไม่ตัดสินเขา และรักสรรพสิ่ง  นั่นคือบ้านลงมาหาเรา  ทุกอย่างจะสัมผัสได้เองไม่ต้องไปขอให้ใครดูให้  เปรียบดังอยู่ในดินแดนทิพย์ขณะมีร่างกายเนื้อบนโลกมนุษย์นั่นเอง  ตอนนี้คิดว่าเด็กอายุ ๑๗ รู้สัจจธรรมมากกว่าแม่แล้วค่ะ  กำลังคิดว่าเราเกิดมาเพื่อหาประสพการณ์จริงๆใช่ไหม

จริงๆ  แล้วเราไม่ได้รับความทุกข์ยากในชีวิตเพื่อใช้หนี้กรรมหรอกค่ะ  มันเป็นจุดหักเหที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงตามธรรมชาติของจักรวาล  สำหรับคนที่เกิดการตื่นรู้ขึ้นมา  เชื่อหรือไม่ว่าเราเป็นคนวางอุปสรรคเหล่านั้นไว้ในแผนชีวิต  แต่เมื่อเกิดมาอยู่ในพลังงานหนักที่ครอบคลุมโลกเราจะ...ลืมแผนเหล่านั้น  ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเมื่อเจอข้อสอบเราเลือกวางกำลังใจอย่างไร  จะคิดดีในพลังงานความรักว่ามีน้ำตั้งครึ่งแก้ว หรือคิดลบถามแต่ทำไมๆ  จึงถูกขโมยน้ำไป

จิตวิญญาณลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อทำงานทาง จิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง  หรือเรียนรู้ประสพการณ์เพื่อเพิ่มเติมให้กับแก่นของจิตวิญญาณ (core soul)  ซึ่งไม่สูญสลายหลังความตายในมิติแห่งมนุษย์ กรรมเป็นบทบาทในการใช้ชีวิต  ข้อบังคับในโลกมิติที่สามนี้เป็นสองขั้ว (duality) มีขาวกับดำ ผิดและถูก  ชั่วและดี เมื่อเราเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์  ไม่เสียพลังงานชีวิตไปกับการตัดสินใคร  ก็ไม่รับพลังงานจากผู้อื่นทั้งหยาบและละเอียดมาแปดเปื้อนสนามพลังงานของตน  จึงรักษาความถี่การสั่นสะเทือนของตนเองไว้ได้ง่าย  โอกาสจะพัฒนาความสั่นสะเทือนของจิตให้ละเอียดขึ้นก็เกิดง่ายเพราะจะดึงดูด ญาติธรรมความถี่ใกล้เคียงกัน (soul family) มาเสริมกันโดยธรรมชาติ  เหมือนคลื่นเฟสเดียวกันรวมกันได้แอมพลิจูดที่สูงขึ้นนั่นเอง Law of  Attraction ช่วยนำกัลยาณมิตรมาพบกันส่งเสริมกันค่ะ

เหตุการณ์ ต่างๆในโลกปัจจุบันดึงอารมณ์ร่วมของผู้เสพย์ข่าวให้ดำดิ่งลงสู่ความกลัว  ซึ่งเป็นคลื่นสั่นสะเทือนระดับต่ำทำให้จิตเศร้าหมอง  จักรวาลมีกฏแห่งแรงดึงดูด กฏนี้ไม่รู้จักคำว่าไม่เอา ไม่ชอบ  คุณมีอารมณ์ร่วมเรื่องใดจักรวาลจัดให้ในไม่นาน  ดังนั้นแทนที่จะกลัวปฏิวัติรัฐประหาร  ลองนึกว่าขอขอบคุณในความสบสุขที่จะมีมาสู่บ้านเมือง  แทนที่จะกลัวภัยพิบัติธรรมชาติ  มานึกว่าขอขอบคุณในความสมดุลธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ที่จะมาถึงดีไหมคะ

ถ้า จิตเราสั่นสะเทือนต่ำๆ กว่าจักรวาลจะดึงดูดมาก็มี time lag  นานจนจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจิตสั่นสะเทือนสูงขึ้น เช่นความรักความเมตตา  ไม่ติดอารมณ์ฝ่ายลบ จะดึงดูดได้เร็วขึ้นค่ะ  ตัวอย่างคือหลวงพ่อหลวงปู่ผู้ทรงคุณทั้งหลาย  ท่านเมตตาอย่างเดียวลูกศิษย์ลูกหาไม่เคยอดไงคะ

หาประกายฝันของตัวเองให้พบ




By Kornkarn Bhamarapravati in Ascension Thailand

เธอทุกคนเป็นเสี้ยวหนึ่งของแสงสว่าง  เราเพียงขอแต่เธอเห็นแสงงามตามความเป็นจริง  ให้ถือเป็นหน้าที่ทีจะดูแลแสงสว่างของตนเอง  หาประกายฝันของตัวเองให้พบแล้วแสงของเธอจะฉายสว่างสุกใส  อย่าพยายามเยียวยาโลก อย่าพยายามเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นอยู่  ปล่อยให้ขั้นตอนต่างๆเดินหน้าห้าถอยหลังสองถ้ามันจะต้องเป็นไปเช่นนั้น  ฉายแสงของเธอให้เจิดจ้า  กล้าที่จะกระพริบก็ได้อยากเป็นแสงสีอะไรก็จัดการไปเลย  เอาให้สดใสงดงาม...นั่นคือพลังของเธอ..เหล่าเทวบุตรเทวธิดาในกายมนุษย์ผู้ ที่กำลังสัมผัสข้อความนี้...   หน้าที่ของเธอคือช่วยคนอื่นให้ก้าวข้ามกรอบสังคม ศาสนา เชื้อชาติ ความเชื่อ  และเป็นเจ้าของพลังและความสร้างสรรค์ในกายของเขาเอง  หมายถึงก่อนอื่นเธอต้องรับผิดชอบกับความสุขของตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง  แล้วเธอจึงจะหันกลับไปแบ่งปันอะไรกับใครได้

การมีชีวิตที่เรา เป็นเจ้าของนั้นเหมือนเรือในทะเล เธอไม่มีลิมิตชีวิตจะทำอะไรก็ได้  แต่ความรับผิดชอบเป็นตัวรักษาสมดุลที่มากับชีวิตอิสระนี้  เธอต้องรับผิดชอบกับน้ำกระเด็นหลังเรือว่าไปโดนใคร  คือเธอต้องรักษาสมดุลย์ระหว่างการรู้จักและใช้พลังของเธอในขณะที่ใช้ชีวิต ให้สอดคล้องกับนาวาชีวิตลำอื่นของผู้อื่นด้วย

Excerpt จากครายออน ขอขอบคุณความรักของท่านครายออนค่ะ

การยกระดับสู่มิติที่สูงกว่า กำลังเกิดขึ้นจริงหรือ




By Kornkarn Bhamarapravati in Ascension Thailand
จากข้อเขียนของ Sandy Stevenson

ภาวะ  ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นจริงๆ   ดาวเคราะห์โลกได้วิวัฒนาการไปถึงจุดที่เธอพร้อมที่จะคลื่อนสู่มิติที่มีความ  สั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงกว่า (ใกล้ช่องว่างกลางกาแล็กซี่ ผู้แปล)   จัดเป็นขั้นตอนการวิวัฒนาการปรกติของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาล   ขบวนการเรียก การยกระดับ (ascension)   ทุกคนและทุกสรรพสิ่งจะถูกยกระดับเมื่อพลังงานของพวกเขาเข้าสู่ความถี่เฉพาะ  หนึ่งๆ ของแสง

บนโลกมีสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่างๆ   ซึ่งจะลื่นไหลไปกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ (Divine Order)   และมีแถบการสั่นสะเทือนคล้ายคลึงกับของโลกและยกระดับไปพร้อมกัน   ตัวอย่างได้แก่สัตว์และพืชที่ตอบสนองต่อกาลเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล

ทุก   คนบนโลกกำลังตัดสินใจว่าจะปรับตัวให้เข้ากับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกระดับ  สู่มิติที่ ๕ หรือเขาจะอยู่เรียนรู้ ณ มิติที่สามต่อไป   การเรียนรู้ในมิติที่ ๓   คือการหาประสพการณ์ในสถานการณืหลากหลายที่จะช่วยสอนให้เรามีปัญญาและความรัก  อันยิ่งใหญ่

ผุ้ที่เรียนรู้ในมิติที่ ๓ นี้   เช่นมนุษย์และสัตว์บางชนิด ต่างอยู่ที่ตำแหน่งการสั่นสะเทือนที่ต่างกัน   ขึ้นกับว่ากำลังอยู่ในบทเรียนใด   การมีชีวิตเชิงบวกให้การสั่นสะเทือนในระดับสูง ความรู้สึกเชิงลบ   เช่นความกลัวสร้างการสั่นสะเทือนในระดับต่ำกว่า


ฉันไม่รู้ ว่าฉันต้องทำอะไร!!
คุณ ไม่ต้องรู้ว่าคุณกำลังทำอะไร  นั่นไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา อัตตาหรือความคิด  (การปรุงแต่ง)  เป็นตัวที่ต้องการรู้รายละเอียดและความสำคัญ   จิตวิญญาณจะมีความเชื่อมั่นในระบบ   ทำในสิ่งทีใช่โดยไม่ลังเลด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่นจากภายใน   และก้าวต่อไปสู่เบื้องหน้าตื่นเต้นโดยไม่รีรอ

ฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแสงสว่างหรือไม่

ถ้า คุณต้องการช่วยเหลือ แม้จะไม่รู้ว่าต้องช่วยอะไร คำตอบคือ  ..ใช่แล้ว...คุณเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแสงสว่าง...


ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังช่วยเหลืออยู่
ถ้า คุณทำในสิ่งที่ รู้ว่าถูกต้อง ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม คุณกำลังช่วยเหลืออยู่   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการกระทำเกิดการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณต่อเนื่องกับ  ผู้อื่นแปลว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายมา ความสนใจ ความตื่นเต้น   การสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณ   และความรู้สึกที่ว่าใช่ที่มาจากภายในจะชี้เส้นทางที่ถูกต้องให้คุณนาทีต่อ  นาที ให้มั่นใจในความรู้สึกภายในของคุณ

ฉันต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดเพื่อวางแผนงานไหม

เมื่อ เราฟังจิตของเรา   เราไม่ต้องการรายละเอียดมากมายที่ใช้กันอยู่ปรกติในโลกสามมิติ   ถ้าเราวางแผนจากสิ่งที่เกิดรู้ในใจ ทุกอย่างที่ต้องการใช้จะมาอยู่ในที่ๆ   เราต้องการ ความรู้สึกว่าใช่อยู่เหนือทุกอย่าง   รวมถึงคำกล่าวของคนในอำนาจและผู้ที่แนะนำเรื่องการยกระดับให้กับเราด้วย

ฉันต้องไปฟังสัมมนา หรือหาบทความอ่านไหม

ถ้า การฟังสัมมนา  อ่านหนังสือ หรือช่องทางรับข้อมูลอื่นๆทำให้คุณตื่นเต้น  ทำไปเลย  ถ้าไม่เอ็นจอยก็ไม่ต้องทำ   วิถีการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการรับรู้ของบุคคลอื่นอาจไม่ใช่วิถีของคุณก็ได้   ถ้าคุณตื่นเต้นบันดาลใจนั่นคือหนทางของคุณ

ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าอัตตาตัวตนครอบงำฉันอยู่

ถ้า คุณมองไปรอบๆ  เพื่อหาว่ามีใครสังเกตเห็นคุณไหม  นั่นแปลว่าอัตตาตัวตนยังครอบงำคุณอยู่  ถามตัวเองสิว่า  ถ้าฉันไม่ได้บอกใครเลยว่าฉันทำอะไรอยู่ และไม่มีใครรู้ด้วย   ฉันยังจะทำอยูอีกไหม ถามเอง ตอบเอง รู้เองค่ะ

ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังเผชิญกับพลังงานด้านลบ

เธอ มีของขวัญที่ ติดตัวมา   คือความสามารถในการสัมผัสได้ว่าสถานการณ์หรือคนบางคนมีทีท่าที่ไม่ปรกติ   ไม่เวิร์คสำหรับคุณ   สังเกตความรู้สึกเริ่มแรกและจงเชื่อมั่นในความรู้สึกนั้น ไม่ว่าคนอื่นในโลก   (อาจรวมถึงคนในครอบครัวคุณ ผู้แปล)   จะคิดอย่างไรกับคนผู้นั้นซึ่งทุกคนนับถือ มีชื่อเสียง   ความรู้ที่เป็นที่ยอมรับ ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด (ดูจีที ๒๐๐ เป็นต้น   ผู้แปล) ถ้าไม่เชื่อตนเองอาจเสียใจได้ภายหลัง   (แต่กว่าจะเริ่มได้ควรพยายามเสพย์ความถี่ดีๆ และลดการเสพย์ความถี่ต่ำๆ   เสาอากาศสะอาดขึ้นรับความถี่ต่างๆ ได้ชัดเจนค่ะ ผู้แปล)

ฉันจะสัมผัสความจริงได้อย่างไร

จิต คุณจะบอกคุณเองทุกครั้งไป  สิ่งที่คุณต้องทำคือเชื่อความรู้จากภายใน  (intuition)  นั้นเมื่อมันสื่อกับคุณ  ถ้าอ่านหรือได้ฟังอะไรแล้วมันรู้สึกว่า “ไม่ใช่”   โยนความรู้สึกนั้นทิ้งเสีย อย่ายอมรับอะไรที่ข้างในบอกว่าไม่ใช่

มนุษย์โลกเป็นสิ่งมีชีวิตสุดอัศจรรย์ สมาชิกแห่งครอบครัวแสงสว่าง



By Kornkarn Bhamarapravati in Ascension Thailand 

ท่าน (ที่ได้อ่านข้อความนี้อันไม่ใช่ความบังเอิญ)  ทั้งหลายมายังโลกในช่วงเวลานี้เพื่อปฏิบัติภารกิจ   เพื่อยกระดับเพื่อเปลี่ยนแปลง  เพื่อให้ความช่วยเหลือในเวลาระหว่างท่ามกลาง   ความรักคือกุญแจ ความรักคือแรงขับเคลื่อนแห่งจักรวาล   เทคโนโลยีบนโลกจะพัฒนาไปได้เพียงแค่ระดับหนึ่ง   เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจว่าความรักเป็นสิ่งจำเป้น   พลังงานสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ ได้   แต่เมื่อมนุษย์จมอยู่ในความโลภ ความเกลียดชัง   หรืออารมณ์อื่นที่ไม่ได้สนับสนุนแสงสว่าง   มนุษย์จะไปได้ไกลเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น   มีเพียงข้อมูลระดับหนึ่งเท่านั้นที่ความสั่นสะเทือนระดับดังกล่าวรับได้

ความรักเป็นดุจดั่งก้อนอิฐ อันเป็นหน่วยพื้นฐาน  เมื่อท่านมีความรัก อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

แสงสว่างคือข้อมูล  ส่วนความรักคือการสรรค์สร้าง

ทั้งนี้จำต้องอาศัยพวกคิดนอกรอบ  เช่นเราครอบครัวแห่งแสงสว่าง  ที่จะเข้ามาในที่ๆมืดมิดมานานนมและเปลี่ยนแปลงมัน

มัน เป็นแผนใหญ่  ที่พวกท่านต่างกระโจนเข้าใส่ พวกท่านเชื่อว่าจะทำได้   ท่านได้รับข้อมูลก่อนจุติมาแล้วว่าจะมีความช่วยเหลือรออยู่เป็นระยะๆ   มีพลังงานชีวิตต่างๆรออยู่เป็นระยะๆ ที่จะกดสวิตซ์เตือน   และจุดประกายให้กับท่าน แต่มิใชดำเนินการแทน เราเป็นสวิตซ์ตัวหนึ่ง   เมื่อได้ยินชื่อกลุ่มดาวลูกไก่ ท่านจะเกิดการระลึกได้หมายรู้   เพราะเราช่วยนำความรู้ความทรงจำของท่านกลับคืนมา   เราเองที่มาพูดคุยกับท่านก็จะได้บันทึกภาคสนามที่น่าสนใจกลับไปเช่นกัน

เรา กลุ่มดาวลูกไก่มาเพื่อช่วยเหลือ ช่วยสอน  และช่วยวิวัฒนาการ  ในขณะที่เราและท่านผ่านขบวนการนี้ไปด้วยกัน   เรามอบสิ่งที่เรารู้มาให้แก่ท่านเพื่อให้ท่านเข้าสู่สภาวะการระลึกรู้ที่สูง  ขึ้น ไม่ได้บอกกับท่านว่ามีรูปแบบนี้แบบเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง   การสอนนี้ออกแบบมาเพื่อการเข้าสู่แผนที่สูงกว่าปัจจุบัน

เรื่อง ราว ที่เราจะบอกแก่ท่านจะพาท่านไปสู่สภาวะจิตวิญญาณระลึกรู้  (consciousness) ที่สูงขึ้น  เราต้องการเอาวิถีการคิดมาให้ท่านพิจารณา   เราต้องการสนับสนุนให้ท่านไม่ยึดติดในแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง   ให้ลองเปิดรับสิ่งที่ท่านลังเล หรือหวาดกลัว   เพื่อตระหนักว่าเมื่อท่านเผชิญหน้ากับด้านมืดหรือเงาของตัวท่านเอง   ทุกท่านที่ลองแนวคิดนี้จะได้รับโอกาสในการปลดปล่อยเป็นอิสระ

ความคิด คือผู้สร้าง

พลัง ของความคิดจะนำท่านไปสู่ที่นั้นๆ  ท่านเองเป็นผู้เลือกที่จะมาที่นี่   ท่านได้รับภารกิจให้นำความทรงจำไปข้างหน้าและนำค่าของความดำรงอยู่ของมวล  มนุษย์ไปยังตำแหน่งแนวหน้าของการสรรค์สร้าง (creation)   ท่านเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง  ท่านถูกฝึกมาเพื่อภารกิจนี้ตลอดชีวิตของท่าน

ท่าน ไม่ได้มาอย่างไม่มีการเตรียมตัว  คำตอบทุกอย่างอยู่ในตัวท่านแล้ว    ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะได้รับข้อมูลใหม่ๆ   ขณะนี้เป็นเวลาในช่วงชีวิตคุณที่จะระลึกรู้ถึงสิ่งที่คุณได้ผ่านมาแล้ว   เราแค่ช่วยให้คุณระลึกรู้ได้ นี่คือส่วนที่เราเข้ามาเกี่ยวข้อง

มนุษยชาติ  เป็นการทดลอง   มนุษยชาติถูกออกแบบอย่างปราณีตและมีทุกอย่างที่เคยใช้ในการสรรค์สร้างทั้ง  หมด   พระผู้สร้างได้ลองสรรค์สร้างหลายสิ่งหลายอย่างมาเป็นเวลานานในจักรวาลนี้  เพื่อ ความพึงพอใจในตน (self gratification) การศึกษาค้นหาตนเอง (self   exploration) และการแสดงออกในตัวตน (self expression)

พระผู้ สร้าง  (prime creator) ให้พลังงานและแก่น (essence) ของท่านให้กับส่วนขยาย   (extension) ของท่าน และได้มอบของขวัญอันประเสริฐให้กับส่วนขยาย   พลางตรัสว่า

"เจ้าทั้ง หลายจงไปสร้างประสพการณ์หลากหลาย และนำมันกลับมาสู่ข้า"

นี่ เป็นภารกิจง่ายๆ ส่วนขยายของพระผู้สร้างถูกเรียกว่า พระเจ้าผู้สร้าง   (creator gods) จึงออกไปและเริ่มทดลองสิ่งต่างๆ   โดยใช้พลังงานของพระผู้สร้าง    พระเจ้าผู้สร้างต่างเริ่มสร้างการจัดระบบตามลำดับชั้น (hierachy)   ซึ่งแต่ละหน่วยก็สร้างการจัดระบบตามลำดับชั้นต่อๆ ลงไปอีก   ต่างมีหน้าที่ช่วยในการพัฒนาจักรวาล

ทริกเกอร์ อีเว้นท์ ๑๐ ๑๐ ๑๐


by International Channeling  (ทีมส่งผ่าน) on Sunday, February 13, 2011 at 9:40pm
มนุษย์ ถึงจุดมากพอที่ไม่หวนกลับ หลายคนกลัวช่วง ๒๐๑๒  หลายคนทำเงินได้เยอะจากความกลัวดังกล่าว  แต่คนจำนวนมากพูดถึงวันเวลาดังกล่าวด้วยความรัก  ถ้าพูดถึงได้ด้วยรักมากเท่าไหร่มันก็จะผ่านไปได้ง่ายมากเท่านั้น  ความคิดอะไรๆ ก็มาได้ แต่คุณเป็คนเลือกว่าความคิดไหนจะอยู่กับเรา

โลก กำลังเปลี่ยนแกนหมุน ตั้งแต่แผ่นดินไหวที่ชิลี พวกเราบางคนก็ถูกเขย่าจากงาน  จากคู่ บ้างต้องย้ายเมือง แกนแม่เหล็กโลกขยับ  แต่สนามพลังงานแม่เหล็กขยับช้ากว่า ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะไล่กันทัน  เดือนมกราพลังงานขยับ

ซีเจคาร์ล น้ำสูงขึ้นของการยกระดับจิต  ไม้ก๊อกจะลอยเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น  แต่ถ้าล่ามโซ่ไม้ก๊อกไว้น้ำจะท่วมไม้ก๊อกในที่สุด  ในการยกระดับต้องตัดโซ่เสีย คำสอนที่ได้รับตลอดชีวิตอาจเป็นโซ่พันธนาการ  ดูจิตตน  การยกระดับของโลกจะเกิดขึ้นไม่ว่าคุณจะเลื่อนระดับไปด้วยหรือไม่ก็ตาม  ธรรมชาติของจิตพร้อมจะเติบโตไปกับการยกระดับของโลก  หาโซ่ของคุณให้พบแล้วเลือกว่าจะปล่อยโซ่ของคุณไปได้ไหม

Steve Rother and the Group www.lightworker.com

ดาวเคราะห์ของเจ้าในปัจจุบันกำลังจะอัพเกรด operating system ของตัวเองจาก DOS เป็น Window 7


ผ่านกรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ  on Thursday, February 3, 2011 at 10:04am
มนุษย์ที่รัก

พวกเจ้าได้ติดอยู่ในห้วงวังวนของมิติที่ ๓  นี้มาเนิ่นนานแล้ว ปัจจุบันพวกเจ้ามีวิทยาการ  แต่วิทยาการของพวกเจ้าไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดแก่ดาวเคราะห์ ดวงนี้ในปัจจุบันได้ เพราะพวกเจ้าถูกครอบไว้ด้วยตันหาอวิชชา  เหมือนวัวเนื้อเกิดมาในฟาร์มวัวไม่เคยลิ้มรสอิสระภาพในทุ่งหญ้า  ทุกวันเห็นวัวอื่นถูกจับขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์ คิดว่าชีวิตตนก็มีแค่นั้น

วิทยา การและวิทยาศาสตร์เป็นเหมือน operating system พวกเจ้ารู้จัก DOS ไหม  เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนใครมีคอมพิวเตอร์ก็ถือว่าเยี่ยม  มีฝาฟล้อปปี้ดิสค์สองอัน อันหนึ่งไว้โหลดแผ่นโปรแกรม  อีกอันไว้ใส่แผ่นบันทึกข้อมูล ไม่มีฮาร์ดดิสค์ ใช้ดอสเป็นตัวรันทุกอย่าง  เวอร์ดเพอร์เฟ็คมาในดิสเก็ต ๑.๔ เมกกาไบต์  พิมพ์วิทยานิพนธ์ได้โดยไม่ต้องใช้พิมพ์ดีด  เวลาแก้ข้อความอะไรพิมพ์แต่หน้าที่แก้ไม่ต้องจ้างเลขาพิมพ์ใหม่ทั้งปึก  วิทยาการหรูสุดๆ แต่จอคอมเป็นสีดำ ตัวหนังสือสีอำพัน ลากเส้นตรงในจอไม่ได้  อย่าถามถึงใส่รูปเพราะไม่มีไฟล์รูป พวกเจ้าคงไม่เข้าใจ  เพราะขณะนี้เจ้ามีอินเตอร์เน็ต เล่นเกม ส่งข้อความ  โหลดคลิปภาพและเสียงในทันใด  แต่ในวันเก่าก่อนพวกเจ้าได้ฝันถึงภาวะโลกคอมพิวเตอร์ดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไหม ถ้ามีใครบอกเจ้าล่วงหน้าเจ้าก็คงไม่เชื่อหาว่าเพ้อฝัน

ดาว เคราะห์ของเจ้าในปัจจุบันกำลังจะอัพเกรด operating system ของตัวเองจาก DOS  เป็น Window 7 ตามที่รหัสปฏิทินมายาได้กล่าวไว้  แต่ข้อมูลที่พวกเจ้าบันทึกไว้และใช้ในการเรียนรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนา  และปรัชญามิสามารถอธิบายและให้ทางออกกับปัญหากายภาพและจิตวิญญาณที่พวกเจ้า เผชิญอยู่จากแผนการเปลี่ยน operating system ในขณะนี้ได้

ทาง กายภาพสุริยะจักรวาลกำลังเข้าสู่โฟตอนเบลท์ และจะอยู่เช่นนั้นไปอีก ๒๐๐๐ ปี  ณ จุดไม่หวนกลับพลังงานจากไฟฟ้าจะใช้การไม่ได้อีกต่อไป  ต้องใช้พลังงานสะอาดจากโฟตอนแทน (แมคเตรียมไว้แล้ว) ระหว่างนี้โลกจะครบรอบ  sidereal year ๒๖๐๐๐ ปี เข้าสู่บริเวณปากจระเข้ในบันทึกมายา  รับพลังงานจากดวงทิตย์ใจกลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือก  การเกิดพายุสุริยะจะมากขึ้น สนามแม่เหล็กโลกจะอ่อนแรงลง  มีการเคลื่อนที่ของขั้วแม่เหล็กโลก  เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนผิวโลกมากมายอย่างที่พวกเจ้าไม่เคยพบเห็นมา ก่อน มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์ดวงนี้ทั้งหมด

วัน สิ้นปฏิทินมายาดาวเคราะห์โลกจะเข้าแถวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในสุริยะ จักรวาล  และเข้าแถวกับดวงอาทิตย์ของพลีเอเดียนและดวงอาทิตย์ของอาชูเรี่ยนซึ่งเป็น สุริยะจักรวาลที่อยู่ใกล้เราที่สุด  เวลาหยุดและเราอยู่ในแถวแห่งดวงดาวที่น่าทึ่ง  ทำให้โลกต้องขยับเข้าสู่ความถี่ที่สูงกว่าเดิม  ผู้อาศัยบนโลกก็ต้องทิ้งอะไรๆ ที่มีความถี่ต่ำๆไปเสีย  ปัจจุบันโลกมีความถี่ที่ ๗.๘ เมกาเฮิร์ต ในจักรวาลวัดความถี่ด้วยสเกล ๑๓  คล้ายสเกลดนตรี ขณะนี้โลกอยู่ที่ ๙ ในปี ๒๐๑๒  การอยู่รอดอยู่ที่ว่าคุณจะสั่นสะเทือนสูงขึ้นไปกับโลกหรือไม่   การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่บนโลกได้เป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมออนไลน์ของจักรวาล ใช่แล้ว  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าคือบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้าผู้สร้าง  โลกอินเตอร์เน็ตคือจักรวาลจำลอง เจ้าสร้างเกมนั้นเกมนี้  มนุษย์คนหนึ่งเล่นได้หลายเกมพร้อมๆ กัน มีชื่ออวตารต่างกันในแต่ละเกม  เจ้าคือพระเจ้าในโลกไซเบอร์เจ้ายังไม่เล่นแค่เกมเดียว   พระเจ้าก็ไม่ได้สร้างโลกใบเดียวในเกมของพระเจ้าเช่นกัน

สังคม ออนไลน์ในจักรวาลกำลังจับตาดูพวกเจ้าอยู่ด้วยความรัก  เพราะเจ้าเป็นญาติพี่น้องกับพวกเขา ไม่ทางเลือดเนื้อก็โดยทางจิตวิญญาณ  เขาพยามส่ง cheat code มาให้มนุษย์ทางความฝันก็ดี ทางนิมิตในสมาธิ หรือทาง  channeling ก็ดี  พวกเจ้ามีวิทยาการทางกายภาพสูงส่งก็ปัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปว่าโกหกหลอกลวง ทั้งสิ้น การตำหนิติเตียนก่อพลังงานลบให้เกิดกับโลก  เจ้าคิดหรือว่าชาวมายาป่าดอยสร้างปฏิทินมายาได้เอง ว่าชาวอียิปต์ป่าเถื่อน  (วันนี้ยังไล่ฆ่ากันอยู่ในจอโทรทัศน์)  สร้างปิรามิดและคิดวิธีทำมัมมี่ได้เอง ชาวไอยคุปต์พูดถึงชีวิตหลังความตาย  คนสมัยใหม่ก็บอกว่าวิญญาณไม่มีจริงเพราะพิสูจน์ไม่ได้  เช่นในองค์ความรู้ของชาติตะวันตกผู้ฉลาดล้ำเป็นต้น  สิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นเทคโนโลยีที่อิมพอร์ตมาจากสังคมออนไลน์ต่างมิติต่าง ดวงดาวทั้งสิ้น

เมื่อโลกอัพเกรด operating system  เสร็จโลกจะมีประชากรลดน้อยถอยลงกว่าปัจจุบันมากมาย  สังคมออนไลน์ของจักรวาลเป็นสังคมแห่งสันติสุขและความรักของพระเจ้า  ผู้คนจากศาสนาใดถ้าใฝ่รักและสันติไม่เพ่งโทษผู้อื่นไม่ยกตนข่มท่านก็อยู่ใน โลกอนาคตในกายเนื้อได้ทั้งสิ้น ตัวละครเกมป่าเถื่อนก็จะถูก delete ไปอยู่  recycle bin รอไปอัพโหลดในระบบ DOS ในเกมอื่นของพระเจ้าที่จะสร้างขึ้นใหม่  ตัวละครที่จะอยู่ในเกมปัจจุบันต่อคือตัวละครที่ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อน มนุษย์โดยปราศจากความเห็นแก่ตัว เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณกลุ่ม (mass  conciousness)  ในเกมออนไลน์เจ้าจะเก็บตัวละครที่บริโภคทองแต่ไม่หาทองเข้าธนาคารมาช่วยซื้อ ปัจจัยสี่ทำไม เลี้ยงไว้เปลืองทองเปล่าๆ delete ทิ้งดีกว่า

ขอ ให้เจ้ารับข้อมูลจากทุกทาง พิจารณาจากใจ รักตนและคนในครอบครัว  เตรียมเขาให้มีที่ปลอดภัยพักพิงก่อน  การเตือนมหาประชาชนนั้นไม่ใช่ว่าเขาจะรอด  มหาบพิตรของเจ้าทำนายไว้หมดแล้วในสมุดภาพมหากาพย์  ท่านก็มิสามารถฝืนชตาสวรรค์ได้ เหตุการณ์ต่าง  ๆในมหากาพย์ก็เกิดไปหลายเหตุการณ์แล้ว ผู้ที่มีสติ เต็มไปด้วยความรัก  และฟังเสียงจากจิตวิญญาณเท่านั้นจะเป็นผู้ถูกเลือกให้รอด  องค์โคตมะของพวกเจ้าจึงสอนอุเบกขา  เพราะแม้แต่ผู้เกิดร่วมสายเลือดกับเจ้าก็อาจไม่ใช่ผู้ถุกเลือกให้อยู่รอดใน กายเนื้อในเวอร์ชั่นใหม่ของ operating system

ฟังเสียงจาก ข้างในตัวเอง เพราะมีคนพยายามจะส่ง cheat code มาให้เจ้าอยู่เสมอ  ตนเแลป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ต้องรอรัฐบาลประเทศไหนๆ  เจ้าเคยเห็นรัฐบาลประเทศไหนรักประชาชนมากกว่าตัวเองหรือ  มันเป็นไปตามครรลองของมนุษย์มิติที่สามที่ได้โอกาสเท่ากันแต่บ้างเลือกไม่ ใช้ดโอกาสดังกล่าว ถ้าฟังตนเองแล้วไม่ได้ยินให้หาอุปกรณ์เสริม  คุยกับมิตรสหายที่มีจิตใจคล้ายกันเจ้าจะพบกับอุปกรณ์ของเจ้า

เอสปาโว

สื่อสารผ่าน มารตา ทิอามาต

กระบวนการ Segment Intention และ Pivot


Segment Intention ขอเรียกย่อๆว่า SI .. SI เป็นกระบวนการที่ถูกนำเสนอโดย Abraham Hicks ซี่งเป็นหนึ่งในรูปธรรมต่างมิติที่สอนเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด SI เป็นกระบวนการกลางๆที่ใช้ได้ทั่วไปไม่จำกัดจริตผู้ปฎิบัติ แม้ว่า SI จะถูกสอนเป็นส่วนหนึ่งของการดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาตามที่คนส่วนใหญ่ใช้กันเพื่อดึงดูดความร่ำรวย สุขภาพ ความสัมพันธ์ และอื่นๆ แต่เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สนใจการเตรียมตัวเพื่อการยกระดับจิตสำนึกของตนและของดาวแม่โลก เราลองมาดูกันว่ากระบวนการนี้จะทำอะไรให้เราได้บ้าง โดยวิธีปฏิบัติ คุณแบ่งเวลาในแต่ละวันเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนจะมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน คุณจะประกาศหรือกำหนดกับตัวเองว่าคุณตั้งใจจะทำอะไรเพื่อให้ได้ผลอย่างไรเมื่อเริ่มต้นช่วงเวลานั้นๆ ตอนนอน คุณก็ตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่มให้ร่างกายได้พักผ่อนซ่อมแซม ตื่นมาสดชื่นเบิกบานพร้อมรับวันใหม่ที่สดใส ให้จิตได้ดื่มด่ำกับสมาธิจิต เข้าถึงโลกแห่งภูมิปัญญาชั้นสูง ให้พร้อมรับสัญญาณนำทางจากตัวตนภายใน เมื่อตื่นขึ้นให้กำหนดว่าเป็นช่วงตื่น ถัดมาก็เป็นช่วงเตรียมตัวออกไปทำงานซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็นช่วงทำความสะอาดร่างกาย ช่วงแต่งตัว ช่วงรับประทานอาหารเช้า ช่วงเดินทางไปทำงาน โดยแต่ละช่วงมีการกำหนดผลลัพธ์ที่ดี คล้ายๆกับการฝึกอานาปนสติที่ชาวพุทธคุ้นเคย ต่างกันตรงที่ไม่ได้กำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์ แต่กำหนดสติให้ประกอบการงานเป็นช่วงๆตามที่ตั้งใจทำให้สำเร็จ เมือเสร็จก็ให้ยินดีกับความสำเร็จในช่วงเวลานั้น ถ้าไม่สำเร็จก็เรียนรู้โดยไม่เพ่งโทษ เรีนยบทเรียนเฉยๆ แล้วก็ขึ้นเวลาท่อนใหม่โดยกำหนดเป้าประสงค์ใหม่ จะกำหนดหยาบๆกว้างหรือละเอียดก็ได้ แตจะแค่ไหนก็ให้ใช้ความรู้สึกว่ารู้สึกดีเท่านั้นพอ Pivot คือการดึงความคิดที่ออกนอกแนว กลับเข้าสู่ความตั้งใจที่กำหนดใว้เมื่อเริ่มช่วงเวลานั้นๆ เมื่อเริ่มฝึก SI อาจต้องทำ Pivot บ่อยหน่อย แต่เมื่อทำ SI ได้เก่งขึ้น จะเกิดความเปลี่ยนแปลงคือคุณจะรักษาความตั้งใจและโทนความสั่นสะเทือนที่รู้สึกดีที่ไปกันได้กับเป้าประสงค์ชองช่วงเวลานั้นๆไว่ได้นานขึ้น เมื่อคุณพบบางสิ่งที่ไม่อยู่ในความตั้งใจเดิม หรือไม่เข้ากันกับความตั้งใจเดิม พอความคิดคุณเคลื่อนไปจับ และเหนี่ยวนำให้เกิดอารมณ์ทางลบ คุณต้อง pivot คือดึงความคิดกลับสู่ความสุขตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิม SI และ Pivot เกี่ยวกับ Ascension ตรงไหน? 1. การกำหนด Segment (of intention) บ่อยๆจะทำให่เราเลือก(choose/decision)บ่อยๆ การเป็นผู้เลือก แทนที่จะเป็นผู้ถูกกระทำแล้วตอบโต้ (reaction) เป็นคุณสมบัติของ 4D 2. การทำ pivot บ่อยๆจะทำให้เราคล่องในการติดตามความคิดและรีบปรับจากอารมณ์หรือโทนการสั่นสะเทือนทางลบให้เป็นบวกได้อย่างเฉียบคมฉับไว เหมาะมากเมือเราเคลื่อนเข้าใกล้ 5D มากขึ้น time buffer จะลดลงเรื่อยๆ การที่คิดแล้วได้สิ่งที่คิดเลยจึงอันตรายมาก เราต้องมีความคิด หรือโทนการสั่นสะเทือนที่เป็นบวกตลอดเวลา แล้วถ้าเป็นลบต้องดึงกลับให้ได้ทันที 3. เมื่อตั้งใจ (intend) แล้วทำได้ตามต้องการ จะเป็นการยืนยันซ้ำกับตัวเองว่าเรา เป็นผู้กำหนด timeline ของเราได้เองจริง.. ยิ่งทำจะยิ่งคล่องเป็นธรรมชาติ ในทางพลังงาน...การกำหนดตั้งใจกำหนดเป้าประสงค์ก่อนเริ่มลงมือทำงานใดๆ จะเปิดโอกาสให้เราได้ตั้งต้นที่ Vortex คือณ.จุดที่เรารู้สึกดี สุขจากภายใน เป็นตัวเองอย่างแท้จริง คล้ายสุญญตา ที่จุดนั้น ความตั้งใจที่ดีและไม่ขัดกับตัวตนที่แท้จริงจะมีพลังอำนาจมาก เหมือนรัวกลองก่อนออกศึก เตรียมตัวเอง เตรียมไพล่พล เสบียน และพันธมิตรให้พรั่งพร้อม โอกาสที่จะสำฤทธิ์ผลตามที่ต้องการ(manifest)จะสูงมาก เป็นบรรยากาศใกล้ 5D มากๆ หวังว่าคงไม่ทำให้งงนะครับ.. นี่เป็นแค่หนึ่งในแบบฝึกหัดที่เราทำได้ ไม่ต้องสนใจว่าได้มากได้น้อย ขอให้ได้ทำก็พอแล้ว ลองทำดูนะครับ... เรียนเล่นไปพร้อมกัน ขอให้มีความสุขกับ SI ครับ.... KindParticle

Thursday 19 January 2012

เชิญเทวา



(Source  ..เชิญเทวา.. http://on.fb.me/wyuvjH วิญญ์ ชวาทิต )


เชิญเทวา

๑. สวัสดีนางฟ้างามในความคิด
ที่สถิตในจิตวิญญาณอันอ่อนล้า
ช่วยเปล่งแสงแสดงพลังอหังการ์
ให้เจิดจ้าถ้วนทั่วทั้งตัวตน

๒. ขออัญเชิญเทวาทุกสารทิศ
สำแดงฤทธิ์ร่ายนิรุกต์ที่สุขล้น
เป็นบทเพลงบรรเลงรักทักทายคน
ให้ตัวตนที่คนคลั่งพังบรรลัย

๓. ขยับยิ้มพริ้มพรายให้ใจอุ่น
ดื่มด่ำบุญถึงวันหน้าฟ้าสดใส
สังเวยชั่วทั่วโลกันต์ด้วยการอภัย
รินน้ำใจใส่จอกกรอกอารมณ์

๔. เชิญสรวลเสเฮลั่นไม่ปั้นหน้า
แย้มรอยยิ้มในแววตาว่าเหมาะสม
ทวีคูณสมบูรณ์สุขทุกอารมณ์
อภิรมย์กำซาบซึ้งให้ถึงใจ

๕. สวัสดีองค์เทพไท้ใต้สำนึก
ทะลวงลึกเผยโฉมให้เฉิดฉาย
จิตพิสุทธิ์ดุจแสงทองผ่องอำไพ
โหนกเนื้อในคือสายใยกาลเวลา

๖. เชิญเทวาทั่วฟ้ามาสถิต
เนรมิตความสงบสยบหล้า
เพลิงโหมไหม้ให้ม้วยเห็นเป็นธรรมดา
หลั่งน้ำตาให้ความขลาดที่หวาดกลัว...

ข่าวสารแห่งธรรม ครั้งที่ ๒ /๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔






​(Source: http://bit.ly/yCQYpv)


ช่วงเวลาของยุคพลังงานใหม่ได้ก้าวล่วงเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว หลายท่านจะเริ่มสังเกตเห็นตัวเลข 11:11, 11:12, 22:23, 13:13, 13:14, 3:33, 1:33, 1:44, 14:14, 4:44 มากขึ้นหรือไม่ สำหรับบางท่านอาจได้รับสาส์นโดยตรงจากเบื้องบนสู่จิต หรืออาจได้รับโดยอ้อมโดยการผ่านความฝัน ไม่ว่าจะเป็นฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคต หรือเป็นการฝันถึงเทพเทวดา พระมหาโพธิสัตว์ หรือท่านผู้เปี่ยมบารมีอื่นๆ

..ท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้นได้ตระเตรียมแผนการมาเนิ่นนานแล้ว ทำนองเดียวกันกับต่างชาติ ต่างศาสนา ล้วนได้รับการติดต่อประสานข้อมูลอย่างทั่วถึงกันแล้วทั่วโลก ในเวลานี้ ได้มีคณะทำงานจับกลุ่มเฝ้ารอการดำเนินงานในภาวะวิกฤตตามจุดต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง แต่ละกลุ่มต่างเรียกตนเองว่ากลุ่มแห่งแสงสว่าง กลุ่มธรรมะและอื่น ๆ แต่ทั้งหมดนี้หาได้เป็นกลุ่มแห่งแสงสว่างที่แท้จริงทั้งหมดไม่ .. ทว่าล้วนมีฝ่ายมืด จิตมารแอบแฝงซ่อนตัวปะปนมาด้วยทุกกลุ่ม แล้วท่านควรจะทำเช่นไร?

๑. ตั้งจิตถึงองค์พระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระผู้ปกครองในยุคของท่านเป็นหลัก น้อมจิตนมัสการถึงท่าน พระธรรมคำสอนของท่านและพระอริยสงฆ์ให้ครบองค์พระรัตนตรัย ขอบารมีจากองค์คุณทั้งสามให้ช่วยโปรดเมตตาส่องกระแสแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นในใจของท่าน เพื่อให้ท่านได้สามารถมีสายตาและจิตใจที่เจิดจ้าชัดเจน ในการที่จะมองเห็นหนทางที่แท้ที่ท่านควรจะเดินไป

.. ทั้งนี้ ท่านจะได้รับบารมีธรรมจากพระองค์ท่านก็ต่อเมื่อ ท่านได้เริ่มปฏิบัติตามที่ระบุไว้ใน "ข่าวสารแห่งธรรม ครั้งที่ ๑" มาแล้วในระดับหนึ่งเท่านั้น หากท่านยังประมาทในชีวิตในจิตวิญญาณของท่านเอง ท่านจะยังคงมืดบอดต่อข่าวสารและความสว่างดังกล่าวนี้..

*สำหรับต่าง ชาติต่างศาสนา ขอให้ตั้งจิตถึงพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดของท่าน เพราะบารมีของท่านเหล่านั้น สามารถแผ่ไพศาลครอบคลุมถึงดวงจิตดวงวิญญาณในทุกชั้นทุกภูมิเช่นเดียวกัน

๒. ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับโลกและระบบสุริยจักรวาลของท่านให้เข้าสู่พลังงานใหม่นั้นได้ถูกจัดวางระบบระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยมานานแล้ว สืบเนื่องจากข้อ ๑ การรักษาศีล การปล่อยวางทางจิต การชำระล้างจิตใจฝ่ายมืดของท่านให้เบาบางลงไปมากที่สุด จะมีผลต่อสภาวะวิกฤตของการปรับเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กล่าวคือ ได้มีการกำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วสำหรับผู้มีกรรมหนัก ผู้มีกรรมเบา ผู้ที่ยังคงกำมือยึดติดกิเลสหนา ๆ และบางสิ่งบางอย่างเอาไว้อย่างเหนียวแน่น จะได้รับผลร้ายเช่นไร ..

และสำหรับผู้ที่สำนึกได้ ตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริงได้ พร้อมทั้งได้เริ่มต้นก้าวเข้าสู่กระแสธรรมของพระพุทธองค์ จะได้รับผลดี
เช่นไร

อนึ่ง ท่านที่สามารถชำระล้างจิตใจของตนเองให้สะอาดได้ในระดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลาท่านจะได้รับสาส์น ซึ่งอาจจะออกมาในรูปของการมองเห็นบางอย่างหรือเกิดการดลใจให้เดินทางหรือกระทำบางอย่าง ซึ่งเกื้อหนุนให้ท่านและครอบครัวแคล้วคลาดปลอดภัย แต่หากท่านไม่ได้เริ่มชำระล้างจิตใจของท่านเองตั้งแต่วันนี้ ท่านจะยังคงเป็นคนมืดบอด ..มืดบอดทั้งโลกนี้และโลกหน้าที่ท่านจะเดินทางไป..

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรประมาท ด้วยประการทั้งปวง..

๓. เมื่อท่านได้ทำการขอขมาและขออโหสิกรรมต่อผู้มีคุณทั้งปวง พร้อมทั้งได้แผ่เมตตาให้กว้างออกไปโดยไร้ข้อจำกัดไปยังบรรดาสรรพสัตว์ ภูตผี สัมภเวสี เปรต อสุรกายและจิตญาณทุกชั้นทุกภูมิ โดยกระทำอยู่เป็นนิจ กระทำโดยปราศจากความคิดอคติข้อยกเว้นในอริหรือผู้ใดที่ท่านไม่ชื่นชอบ และปราศจากความคาดหวังใด ๆ ให้ตัวท่านเอง ..จิตวิญญาณของท่านจะเกิดความสว่างไสวขึ้นโดยอัตโนมัติ

.. เมื่อความคิด คำพูดและการกระทำทางด้านมืดใหม่ ๆ ไม่เกิดขึ้น ของเก่าที่ตกตะกอนค้างนิ่งมานานก็จะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปด้วยกระแสธรรม บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่ท่านจะสร้างขึ้นใหม่ก็มีน้อยลง บรรดาเจ้ากรรมนายเวรเก่า ๆ ที่เคยอาฆาตจะเอาชีวิตท่านก็จะบรรเทาลงเหลือเพียงความโกรธ .. บรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่โกรธท่านอยู่ก็จะบรรเทาเบาบางลงไปจนหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วก็จากท่านไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหล่านั้น ยังจะอนุโมทนา เคารพท่านและขอบคุณท่านที่ได้มอบพลังบุญจากการปฏิบัติภาวนาในกระแสธรรมของท่านอีกด้วย

๔. ในการก้าวเข้าสู่กระแสธรรมจากการปฏิบัติตามข้อ ๓ ในระยะแรก ท่านจะพบความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยทางร่างกาย ท่านอาจท้องเสีย มีผดผื่น เป็นไข้ ปวดหัวหนักๆ ต่อเนื่องหรืออื่น ๆ ..ส่วนทางจิตใจ ท่านจะได้พบกับฝันร้ายถึงปิศาจ ผี มาร เปรตหรืออะไรต่าง ๆ ติดกันหลาย ๆ คืน ..ขอให้อย่าได้ตกใจกลัวหรือตระหนกกับสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นการผลักดันกระแสมืดออกจากร่างกายและจิตใต้สำนึกของท่านโดยกระแสธรรม

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท่านภาวนาได้มาถึงระดับหนึ่ง ท่านจะค้นพบความมืดในใจของท่านชัดเจนขึ้น ท่านจะพบการดิ้นรนทุรนทุรายและไม่ยอมพ่ายแพ้โดยง่ายของมารหรือกิเลสที่มันฝังตัวอยู่ในนั้น มันมักจะกล่อมท่านด้วยภาพ ด้วยความฝันหรือรูปลักษณ์อื่น ๆ ความคิดอื่น ๆ ซึ่งจะคอยชักจูงท่านให้เดินออกจากกระแสธรรม แล้วหวนกลับไปสู่กิเลสและสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านเคยมีเคยเป็นอยู่ในโลกใบเดิมของท่าน ซึ่งท่านเรียกมันว่าความอบอุ่นที่คุ้นเคย แต่หาใช่ความอบอุ่นที่แท้จริงไม่

ในกาลนี้ ขอให้ท่านย้อนกลับไปปฏิบัติตามข้อ ๑ อีกครั้งด้วยความเพียรที่ท่านมี ด้วยความหนักแน่น และด้วยความมุ่งมั่นของท่าน อาศัยบารมีแห่งองค์พุทธะ ท่านจะสามารถชนะมารในใจท่านได้ด้วยความเมตตาและความรักของท่านได้ในที่สุด

.. เนื่องจากบารมีแห่งองค์พุทธะนั้นสว่างไสวไปทั่วสากลจักรวาลทุกชั้นทุกภูมิและสามารถ เอาชนะมารได้ทั้งหมดทุกตัว อย่างไม่มีข้อยกเว้น..

๕. ในกาลข้างหน้า ท่านจะได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกมากขึ้น ท่านจะเห็นภัยพิบัติถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น แต่ขอให้ท่านเข้าใจว่า กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อยกระดับพลังงานและจิตวิญญาณของโลกใบนี้ให้สูงขึ้นสู่ระดับจักรวาล ทั้งหมดเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตกาล และจะคงยังมีอีกนับไม่ถ้วนครั้ง

ในอนาคตกาล ท่านจะพบเห็นสงครามกลางเมือง สงครามระดับประเทศ ผู้คนที่มีจิตมืดจะออกมาประหัตประหารกันเอง ด้วยพวกเขาเข้าใจว่า การประหัตประหารนั้นนำมาซึ่งการยึดครอง ถือครอง และครอบครองโลกใบนี้ ผู้คนจำนวนมากจะถูกหลอกใช้ด้วยเข้าใจว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นการกระทำโดยฝ่ายมาร ..ทว่าเป็นความเข้าใจและปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้นโดยฝ่ายธรรม ...ท่านที่ "ตื่นแล้ว" ขอให้หลีกเลี่ยงและอย่าได้เดินเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก

ท่านจะได้พบกับสภาพอากาศที่วิปริตแปรปรวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเหน็บหนาว หิมะตก ลูกเห็บหล่น แผ่นดินไหวหนักหน่วงถี่ขึ้น ๆ จวบจนกระทั่งเกิดขึ้นหนักที่สุดพร้อมกันทั่วโลก ลมพายุหมุนนับไม่ถ้วนลูก พายุฟ้าผ่า ภูเขาไฟระเบิด ฟ้ามืดมนต่อเนื่อง ดวงอาทิตย์คล้ายกับดับหายไปในช่วงวิกฤต ...ท่านที่ปฏิบัติดีแล้ว ขอให้อยู่ในความสงบ ฟังเสียงในหัวใจของท่าน ฟังสัญชาตญาณที่ได้รับการดลใจจากพระพุทธองค์และพระศรีอาริยเมตไตรย์ ด้วยความปล่อยวางและการคลายจิตของท่านมาก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านจะต้องตื่นกลัวอีกต่อไป

ท่านจะพบการจากไปของสัตว์และสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ ในขณะที่จะได้พบกับการมาเยือนของบางสายพันธุ์ที่ท่านไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ระดับเชื้อโรคที่จะสามารถมาทำร้ายสุขภาพของหลาย ๆ ชีวิต ในขณะเดียวกัน สัตว์ร่วมโลกจำนวนหนึ่งจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขาจะดุร้ายเกรี้ยวกราดมากขึ้น จะทำร้ายกันเองหรือทำร้ายผู้เลี้ยงอย่างขาดสติ ดังนั้น ท่านที่มีสัตว์เลี้ยงขอให้เฝ้าระวังดูแลและสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงของท่านให้ใกล้ชิด ในภาวะวิกฤต ท่านอาจได้รับอันตรายจากสัตว์เลี้ยงของท่านเอง

ระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้ชาวโลกดื่มด่ำกับการเป็นหนี้เป็นสิน ระบบการเงินต่าง ๆ เหล่านี้จะล่มสลายลงและได้รับการจัดสรรสิ่งใหม่ขึ้นมา สภาวะเสื่อมสลายของระบบที่คิดค้นโดยฝ่ายมืดจะค่อย ๆ เกิดขึ้น มากขึ้น ๆ อย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้เมื่อท่านได้เห็นสัญญาณบางอย่างในระบบเศรษฐกิจโลก ท่านควรเปลี่ยนกระดาษในมือของท่านเป็นสิ่งของสำหรับค้ำจุนชีวิต ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษใช้ก่อไฟเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ บางท่านอาจจะตื่นกลัว หรือตระหนกตกใจกับข่าวเภทภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า ท่านยังไม่ได้ผ่านการปฎิบัติเพื่อเข้าสู่กระแสธรรมอย่างแท้จริง และท่านยังไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทั้งหมดชีวิตและโลกนี้ที่ท่านลืมตามาอาศัยและหายใจรดอยู่ทุกวัน ๆ นั้น คืออะไร..

ท่านควรเร่งศึกษา สอบถามผู้รู้ ขอรับคำชี้แนะด้วยความนอบน้อม เมื่อท่านเข้าใจและเห็นภาพรวมต่าง ๆ ชัดเจนดีแล้ว ท่านจะอยู่ในอาการที่สว่าง สงบ และยิ้มรับความเปลี่ยนแปลงอย่างเบิกบาน..

๖. ท่านที่ยังคงประมาท ไม่ได้เริ่มที่จะเรียนรู้ ไม่คิดที่จะศึกษาและไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้สอนสั่งไว้ ในช่วงวิกฤตนั้น ท่านอาจจะได้พบกับสภาวะยุ่งยากจากผู้มาเยือนจากภพอื่น ไม่ว่าจะเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือจิตญาณอื่นใดก็ตามที่ยังคงมีพันธะทางวิญญาณ ติดตามโกรธแค้นต่อท่านจากอดีตชาติ ในกาลเวลานั้น พวกเขาจะมาหาท่านถึงเคหสถานของท่าน หากท่านไม่ทราบว่าจะรับมืออย่างไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร ท่านจะประสบปัญหาหนักกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น ขอให้เริ่มต้นศึกษาและถามไถ่ผู้รู้จากกรณีดังกล่าวนี้

๗. ในบรรดาเส้นทางแห่งกระแสธรรมทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะมาจากทิศใด อ้อมๆ เลี้ยวโค้ง มีหลุมมีบ่อ เป็นเลนตม หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะได้มาร่วมอยู่ในเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น ท่านใดถูกจริตในการจะเริ่มที่กลางทางก็ทำไปตามนั้น ท่านใดถูกจริตที่จะเริ่มต้นตั้งแต่การฝึกสมาธิให้เรียบและทรงพลังก็ขอให้ทำไปตามที่ท่านรู้สึก หรือหากท่านใดที่พบว่าท่านผ่านการเรียนรู้มาไกลแล้วตั้งแต่อดีตภพก่อนหน้านี้ ก็ขอให้ท่านเริ่มต้น ณ จุดที่ท่านสัมผัสได้

.. ทั้งนี้ทั้งนั้น ขออย่าได้ตำหนิติเตียน ดูถูกดูแคลน กล่าวหาว่าร้าย หรือโต้แย้งบาดหมางซึ่งกันและกัน ทว่าขอให้เมตตาต่อกัน ชี้แนะต่อกัน ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน .. ส่วนฝ่ายที่จะได้รับการชี้แนะสอนสั่งนั้น ก็ขอให้เคารพนบนอบต่อครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะยังคงมีบางสิ่งบางอย่างในตัวครูบาเหล่านั้นที่ท่านยังคงไม่ชอบใจอยู่ก็ตามที ทั้งนี้.. เมื่อถึงเวลาอันควร ท่านผู้มีคุณเหล่านั้น ต่างก็จะได้บรรลุหลุดล่วงสู่กระแสธรรมเดิมแท้ด้วยกันทั้งหมด

...จากนี้ไป ยังคงมีเวลาให้ท่านได้เริ่มต้นอยู่บ้างสำหรับท่านที่ยังไม่แน่ใจและสับสน สำหรับท่านที่มีการเตรียมพร้อมทั้งทางกายและจิตวิญญาณดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านช่วยบอกสอนผู้อื่นต่อไปเท่าที่ท่านจะทำได้ เขาจะรับฟังและปฏิบัติตามหรือไม่ ทั้งหมดเป็นบุญกรรมของเขา ขอให้ทำไปตามหน้าที่ด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีขอบเขต เท่านั้นพอ..

..ขอให้เจริญในธรรม..(-/\-)

๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

วิญญ์ ชวาทิต สื่อสาร..

Wednesday 18 January 2012

หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมบทความก่อนหน้านี้ "หนทางสู่อิสรภาพ(จากสารพันปัญหา)"  ต้องถูกเขียนขึ้นและมันเกี่ยวยังงัยกับการเลื่อนมิติด้วย เรื่องมันก็มีอยู่ว่าผมเองมองหากรอบการนำเสนอรวมทั้งสาระความรู้ที่จะหามาศึกษาร่วมกันบล็อกนี้  ผมจึงมองหาแบบจำลองว่าถ้าต้องแก้ปัญหาอะไรซักอย่าง เราต้องรู้อะไร และต้องทำอะไรบ้าง...

แบบจำลองหรือกรอบการจัดการที่เสนอมาก็เป็นตัวอย่างที่คิดว่าใช้ได้ดีพอควร.. ดังนั้นการนำเสนอสาระต่างๆก็จะอยู่ในกรอบดังกล่าวคือจะเป็นเรื่องของความเข้าใจที่ถูกตรงเรื่องปัญหาและต้นเหตุ (truth about prolem and root causes) สภาวะปลอดปัญหา (benefit and its value) และเครื่องมือต่างๆ... โดยอาศัยความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันตามที่เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว

หากเพื่อนนักศึกษามีข้อเสนอแนะก็ยินดีรับไปปรับปรุงครับ


หนทางสู่อิสรภาพ(จากสารพันปัญหา)


ในยุคนี้ใครๆก็เรียกร้องเสรีภาพอิสรภาพกันทั้งนั้น ไม่ว่าเด็กเล็กที่ชอบเล่นของเล่นใหม่ๆกิจกรรมสนุกๆตลอดเวลา วัยรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ต้องการแยกตัวออกจากผู้ดูแล แม้แต่ผู้ใหญ่ที่เรียกร้องทางการเมืองด้วยเหตุผลอันยากคาดเดา ความต้องการเหล่านี้ต้องไม่ถูกตัดสินว่าดีเลวถูกผิด (สะกดจิตตัวผู้เขียนเองอยู่) แต่การทำความต้องการนั้นๆให้สำเร็จโดยไม่มีกรอบเลยมันดูจะอันตรายเกินไป ทั้งกับคนที่ทำ และคนรอบช้าง

บทความนี้เพียงเสนอกรอบความคิดกว้างๆและเป็นกลางไม่ติดกับความเชื่อใดๆที่ยากจะพิสูจน์ แม้ว่ากรอบความคิดนี้อาจละม้ายคล้ายกับหัวใจหลักของศาสนา แต่ก็เป็นกลางมากพอเพื่อให้คนทุกศาสนา ทุกความเชื่อนำไปปรับใช้ได้

โดยย่อกรอบความคิดนี้นี้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 
  1. ความจริง (Accurate PROBLEM statement / Truth / Fact / Rules of the Game / Root Causes)
  2. ปลายทาง (Final stage/Exit Condition) 
  3. เครื่องมือ (Tool / Optimizer)

ความจริง(Accurate PROBLEM statement / Truth / Fact / Rules of the Game / Root Causes)

อะไรคือความจริง ก่อนอื่นเลยต้องศึกษาสำรวจวิเคารห์วิจัยให้ชัดว่าปัญหาที่จะแก้นั้นมัตัวจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการกล่าวอ้างจากคนอื่น หรือเป็นสิ่งที่คิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง การอธิบายหรือบรรยายถึงปัญหาได้อย่างละเอียดจะช่วยให้ความชัดเจนมีมากยิ่งขึ้น

...กิจกรรมที่ต้องทำต่อปัญหาคือทำความเข้าใจให้ชัดว่าอะไรคือปัญหาและมันใช่ปัญหาจริงๆหรือเปล่า


การค้นให้พบเหตุแท้จริงของปัญหาก็เป็นความจริงที่จำเป็นในการตัดรากถอนโคน ความสัมพันธ์ระหว่างความจริงนี้จึงมีสองส่วนคือ เหตุ และ ผล(ลัพธ์)  ส่วนของผลยังแบ่งเป็นที่เป็นผลโดยตรง และแบบผลโดนอ้อมหรือผลข้างเคียง ความเข้าใจที่ครบถ้วนถูกตรงนี้จะทำให้เราแก้ปัญหาได้สะอาดหมดจด โดยแบ่งขั้นการจัดการเป็น 1.หยุดการแพร่กระจายขยายผล 2.กำจัดต้นเหตุอย่างถาวร 3.จัดการเก็บกวาดเศษซากของการแก้ต้นเหตุรวมไปถึงผลที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว

เส้นทางจากเหตุมาสู่ผลยังแบ่งเป็นสองรูปแบบ 1.แบบเส้นตรง(ซึ่งอาจมีได้หลายเส้น) 2.แบบวัฏจักร ผู้ศึกษาต้องสวมบทเป็นเจ้าหนูจำไม ด้วยคำถามว่า "ทำไม ๆ ๆ ๆ" ถามสาวย้อนไปเรื่อยๆจนเจอต้นตอ หรือพบว่าวนเป็นวง(จร)แล้ว

...กิจกรรมที่ต้องทำกับต้นเหตุคือกำจัดหรือสลายต้นเหตุไปซะ ในกรณีเส้นทางจากเหตุสู่ผลมันเป็นวงวัฎจักร สิ่งที่ต้องทำคือหาห่วงท่อนที่อ่อนแอที่สุด (The weakest link) แล้วทำลายห่วงข้อนั้น


บางครั้งปัญหาที่ต้องแก้ก็มีลักษณะเหมือนเกมส์ ความเข้าใจในกฎกติกา เพื่อไม่ให้เล่นผิดกฎจะไม่ถูกปรับคะแนน หรือไล่ออกจากสนามก็เป็นเรื่องจำเป็น แต่บางครั้งก็ต้องศึกษาให้เข้าทางกรรมการด้วย โอกาศชนะย่อมสูงขึ้นด้วย

ปลายทาง (Final stage/Exit Condition)

สภาวะที่ปลอดปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจไม่น้อยไปกว่าการเข้าใจปัญหา และการสืบสาวหาต้นเหตุที่แท้จริง การมีความเช้าใจหรือการกำหนดสถานะการณ์ที่ปลอดปัญหา(โดยสิ้นเชิง หรือที่ยอมรับได้)ให้ชัดเจนนั้นมีที่ใช้เช่น

เพื่อจะได้ใช้ประเมินคุณค่าหรือมูลค่าของภาวะปลอดปัญหาว่ามันสุดยอดขนาดไหน เอาไปเทียบกับค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเชิงตัวเงิน เวลา ความสัมพันธ์ หรือเชิงอารมณ์ ที่ต้องใช้ในการจัดการปญหาทั้ง 3 ระดับว่าคุ้มจะแลกกันหรือไม่..

อีกประการหนึ่งก็ใช้ในการสอบทานว่าการแก้ปัญหานั้นจบจริงหรือไม่ หลายๆครั้งเราคิดว่ารู้ปัญหาและคิดว่ารู้ต้นเหตุ แต่แม้จะแก้เหตุแล้วก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่ต้องการ(สภาวะปลอดปัญหา) การตรวจสอบกัลปลายทางที่ต้องการจะเป็นข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพื่อปรับแก้การจัดการปัญหากันต่อไป

...รู้แบบนี้็จะได้ไม่หลอกตัวเองว่าเสริจกิจสมบูรณ์แล้ว (ย้อน)กลับไปค้นหาความจริงกันต่อไป 

เครื่องมือ (Tool / Optimizer)

มีบ่อยครั้งที่การสลายต้นเหตุของปัญหาทำไม่ได้ง่ายเหมือนหลับตา หรือเอายางลบลบออก เราจึงต้องมีเครื่องทุ่นแรงมาช่วย ถ้าคิดไม่ออกก็ให้ถามผู้รู้หรือกูรูทั้งในรูปตัวบุคคลหรือบันทึกความรู้ในรูปแบบต่างๆ

คำเตือน...เครื่องมือกับตัวช่วยนี่ไม่เหมือนกัน.. การใช้ตัวช่วย คือให้คนอื่นมาแก้ให้ เป็นการแก้ปัญหาแบบขี้โกงซึ่งพอยอมรับได้ในกรณีเดียวคือกรณีที่เชื่อว่าปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก ... อย่างไรก็ตาม มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้ครับว่าในหลายๆสถานะการ ตัวช่วยคือทางออกที่ง่ายและเร็วที่สุด (และอาจดีที่สุด) สิ่งสำคัญคืออย่าลืมเรียนจากตัวช่วยให้มากที่สุด เป้าหมายคือต้องทำเองได้ (หรือบอกให้คนอื่นทำให้ได้)


ทั้งหมดนี้เป็นกรอบการจัดการปัญหาที่ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เช้าไปจับก็อาจต้องปรับแต่งพลิกแพลงมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี ...... แล้วคุณสงสัยมั้ยว่ากรอบการแก้ปัญหามันเกี่ยวอย่างไรกับการเลื่อนระดับหรือมิติแห่งสำนึกอย่างไร... โปรดติดตามตอนต่อไป....

Monday 16 January 2012

The Seven Day Mental Diet (by Emmet Fox)


The Seven Day Mental Diet

by Emmet Fox

The subject of diet is one of the foremost topics of the present day in public interest. Newspapers and magazines teem with articles on the subject. The counters of the bookshops are filled with volumes unfolding the mysteries of proteins, starches, vitamins, and so forth. dust now the whole world is food-conscious. Experts on the subject are saying that physically you become the thing that you eat — that your whole body is really composed of the food that you have eaten in the past. What you eat today, they say, will be in your bloodstream after the lapse of so many hours, and it is your blood-stream that builds all the tissues composing your body — and there you are. Of course, no sensible person has any quarrel with all this. It is perfectly true, as far as it goes, and the only surprising thing is that it has taken the world so long to find it out; but in this article I am going to deal with the subject of dieting at a level that is infinitely more profound and far-reaching in its effects. I refer of course to mental dieting.

The most important of all factors in your life is the mental diet on which you live. It is the food which you furnish to your mind that determines the whole character of your life. It is the thoughts you allow yourself to think, the subjects that you allow your mind to dwell upon, which make you and your surroundings what they are. As thy days, so shall thy strength be. Everything in your life today — the state of your body, whether healthy or sick, the state of your fortune, whether prosperous or impoverished', the state of your home, whether happy or the reverse, the present condition of every phase of your life in fact —  is entirely conditioned by the thoughts and feelings which you have entertained in the past, by the habitual tone of your past thinking. And the condition of your life tomorrow, and next week, and next year, will be entirely conditioned by the thoughts and feelings which you choose to entertain from now onwards.

In other words, you choose your life, that is to say, you choose all the conditions of your life, when you choose the thoughts upon which you allow your mind to dwell. Thought is the real causative force in life, and there is no other. You cannot have one kind of mind and another kind of environment. This means that you cannot change your environment while leaving your mind unchanged, nor — and this is the supreme key to life and the reason for this article — can you change your mind without your environment changing too.

This then is the real key to life: if you change your mind your conditions must change too. Your body must change, your daily work or other activities must change; your home must change; the color-tone of your whole life must change, for whether you be habitually happy and cheerful, or low-spirited and fearful, depends entirely on the quality of the mental food upon which you diet yourself. Please be very clear about this. If you change your mind your conditions must change too. We are transformed by the renewing of our minds. So now you will see that your mental diet is really the most important thing in your whole life.

This may be called the Great Cosmic Law, and its truth is seen to be perfectly obvious when once it is clearly stated in this way. In fact, I do not know of any thoughtful person who denies its essential truth. The practical difficulty in applying it, however, arises from the fact that our thoughts are so close to us that it is difficult, without a little practice, to stand back as it were and look at them objectively. Yet that is just what you must learn to do.

You must train yourself to choose the subject of your thinking at any given time, and also to choose the emotional tone, or what we call the mood that colors it. Yes, you can choose your moods. Indeed, if you could not you would have no real control over your life at all. Moods habitually entertained produce the characteristic disposition of the person concerned, and it is his disposition that finally makes or mars a person's happiness.

You cannot be healthy; you cannot be happy; you cannot be prosperous; if you have a bad disposition. If you are sulky, or surly, or cynical, or depressed, or superior, or frightened half out of your wits, your life cannot possibly be worth living. Unless you are determined to cultivate a good disposition, you may as well give up all hope of getting anything worth while out of life, and it is kinder to tell you very plainly that this is the case. If you are not determined to start in now and carefully select all day the kind of thoughts that you are going to think, you may as well give up all hope of shaping your life into the kind of thing that you want it to be, because this is the only way.

In short, if you want to make your life happy and worth while, which is what God wishes you to make it, you must begin immediately' to train yourself in the habit of thought selection and thought control. This will be exceedingly difficult for the first few days, but if you persevere you will find that it will become rapidly easier, and it is actually the most interesting experiment that you could possibly make. in fact, this thought control is the most thrillingly inter' interesting hobby that anyone could take up. You will be amazed at the interesting things that you will learn about yourself, and you will get results almost from the beginning.

Now many people knowing this truth, make sporadic efforts from time to time to control their thoughts, but the thought stream being so close, as I have pointed out, and the impacts from outside so constant and varied, they do not make very much progress. That is not the way to work. Your only chance is definitely to form a new habit of thought which will carry you through when you are preoccupied or off your guard as well as when you are con' consciously attending to the business. This new thought habit must be definitely acquired, and the foundation of it can be laid within a few days, and the way to do it is this:

Make up your mind to devote one week solely to the task of building a new habit of thought, and during that week let everything in life be unimportant as compared with that. If you will do so, then that week will be the most significant week in your whole life. It will literally be the turning' point for you. If you will do so, it is safe to say that your whole life will change for the better. In fact, nothing can possibly remain the same. This does not simply mean that you will be able to face your present difficulties in a better spirit; it means that the difficulties will go. This is the scientific way to Alter Your Life, and being in accordance with the Great Law it cannot fail. Now do you realize that by working in this way you do not have to change conditions What happens is that you apply the Law, and then the conditions change spontaneously. You cannot change conditions directly — you have often tried to do so and failed — but go on the SEVEN DAY MENTAL DIET and conditions must change for you.

This then is your prescription. For seven days you must not allow yourself to dwell for a single moment on any kind of negative thought. You must watch yourself for a whole week as a cat watches a mouse, and you must not under any pretense allow your mind to dwell on any thought that is not positive, constructive, optimistic, kind. This discipline will be so strenuous that you could not maintain it consciously for much more than a week, bur I do not ask you to do so. A week will be enough, because by that time the habit of positive thinking will begin to be established. Some extraordinary changes for the better will have come into your life, encouraging you enormously, and then the future will take care of itself. The new way of life will be so attractive and so much easier than the old way that you will find your mentality aligning itself almost automatically.

But the seven days are going to be strenuous'. I would not have you enter upon this without counting the cost. Mere physical fasting would be child's play in comparison, even if you have a very good appetite. The most exhausting form of army gymnastics, combined with thirty mile route marches, would be mild in comparison with this undertaking. But it is only for one week in your life, and it will definitely alter every' thing for the better. For the rest of your life here, for all eternity in fact, things will be utterly different and inconceivably better than if you had not carried through this undertaking.

Do not start it lightly. Think about it for a day or two before you begin. Then start in, and the grace of God go with you. You may start it any day in the week, and at any time in the day, first thing in the morning, or after breakfast, or after lunch, it does not matter, but once you do start you must go right through for the seven days. That is essential. The whole idea is to have seven days of unbroken mental discipline in order to get the mind definitely bent in a new direction once and for all.

If you make a false start, or even if you go on well for two or three days and then for any reason "fall off" the diet, the thing to do is to drop the scheme altogether for several days, and then to start again afresh. There must be no jumping on and off, as it were. You remember that Rip Van Winkle in the play would take a solemn vow of teetotalism, and then promptly accept a drink from the first neighbor who offered him one, saying calmly: "I won't count this one. Well, on the SEVEN DAY MENTAL DIET this sort of thing simply will not do. You must positively count every lapse, and whether you do or not, Nature will. Where there is a lapse you must go off the diet altogether and then start again.

Now, in order, if possible, to forestall difficulties, I will consider them in a little detail.

First of all, what do I mean by negative thinking? Well, a negative thought is any thought of failure, disappointment, or trouble; any thought of criticism, or spite, or jealousy, or condemnation of others, or self-condemnation; any thought of sickness or accident; or, in short, any kind of limitation or pessimistic thinking. Any thought that is not positive and constructive in character, whether it concerns you yourself or anyone else, is a negative thought. Do not bother too much about the question of classification, however; in practice you will never have any trouble in knowing whether a given thought is positive or negative. Even if your brain tries to deceive you, your heart will whisper the truth.

Second, you must be quite clear that what this scheme calls for is that you shall not entertain, or dwell upon negative things. Note this carefully. It is not the thoughts that come to you that matter, but only such of them as you choose to entertain and dwell upon. It does not matter what thoughts may come to you provided you do not entertain them. It is the entertaining or dwelling upon them that matters. Of course, many negative thoughts 'will come to you all day long. Some of them will just drift into your mind of their own accord seemingly, and these come to you out of the race mind. Other negative thoughts will be given to you by other people, either in conversation or by their conduct, or you will hear disagreeable news perhaps by letter or telephone, or you will see crimes and disasters announced in the newspaper headings. These things, however, do not matter as long as you do not entertain them. In fact, it is these very things that provide the discipline that is going to transform you during this epoch-making week. The thing to do is, directly the negative thought presents itself — turn it out. Turn away from the newspaper; turn out the thought of the unkind letter, or stupid remark, or what not. When the negative thought floats into your mind, immediately turn it out and think of something else. Best of all, think of God as explained in The Golden Key. A perfect analogy is furnished by the case of a man who is sitting by an open fire when a red hot cinder flies out and falls on his sleeve. If he knocks that cinder off at once, w without a moment's delay to think about it, no harm is done. But if he allows it to rest on him for a single moment, under any pretense, the mischief is done, and it will be a troublesome task to repair that sleeve. So it is with a negative thought.

Now what of those negative thoughts and conditions which it is impossible to avoid at the point where you are today? What of the ordinary troubles that you will have to meet in the office or at home? The answer is, that such things will not affect your diet provided that you do not accept them, by fearing them, by believing them, by being indignant or sad about them, or by giving them any power at all. Any negative condition that duty compels you to handle will not affect your diet. Go to the office, or meet the cares at home, without allowing them to affect you. (None of these things move me), and all will be well. Suppose that you are lunching with a friend who talks negatively — do not try to shut him up or otherwise snub him. Let him talk, but do nor accept what he says, and your diet will not be affected. Suppose that on coming home you are greeted with a lot of negative conversation — do not preach a sermon, but simply do not accept it. It is your mental consent, remember, that constitutes your diet. Suppose you witness an accident or an act of injustice let us say — instead of reacting with pity or indignation, refuse to accept the appearance at its face value; do anything that you can to right matters, give it the right thought, and let it go at that. You will still be on the diet.

Of course, it will be very helpful if you can take steps to avoid meeting during this week anyone who seems particularly likely to arouse the devil in you. People who get on your nerves, or rub you up the wrong way, or bore you, are better avoided while you are on the diet; but if it is not possible to avoid them, then you must take a little extra discipline — that is all.

Suppose that you have a particularly trying ordeal before you next week. Well, if you have enough spiritual understanding you will know how to meet that in the spiritual' way; but, for our present purpose, I think I would wait and start the diet as soon as the ordeal is over. As I said before, do not take up the diet lightly, but think it over well first.

In closing, I want to tell you that people often find that the starting of this diet seems to stir up all sorts of difficulties. It seems as though everything begins to go wrong at once. This may be disconcerting, but it is really a good sign. It means that things are moving; and is not that the very object we have in view? Suppose your whole world seems to rock on its foundations. Hold on steadily, let it rock, and when the rocking is over, the picture will have reassembled itself into something much nearer to your heart's desire.

The above point is vitally important and rather subtle. Do you not see that the very dwelling upon these difficulties is in itself a negative thought which has probably thrown you off the diet? The remedy is not, of course, to deny that your world is rocking in appearance, but to refuse to take the appearance for the reality. Judge not according to appearances but judge righteous judgment.

A closing word of caution: Do not tell anyone else that you are on the diet, or that you intend to go on it. Keep this tremendous project strictly to yourself. Remember that your soul should be the Secret Place of the Most High. When you have come through the seven days successfully, and secured your demonstration, allow a reasonable' time to elapse to establish the new mentality, and then tell the story to anyone else who you think is likely to be helped by it. And, finally, remember that nothing said or done by anyone else can possibly throw you off the diet. Only your own reaction to the other person's conduct can do that.

Saturday 14 January 2012

I'AM Alive Alert Awake Enthusiastic!


I'AM

Alive

Alert

Awake

Enthusiastic!




วันนี้ยังเป็นวันหยุดก็ยังขออะไรเบาๆอยู่ดีมั้ยครับ..... ลองฟังเพลงนี้ดู มัันอาจจะเพิ่มความเร็วในการสั่นสะเทือนของคุณได้ครับ..  Happy Weekend

เครื่องมือสำหรับพลังงานใหม่ 2012+

เครื่องมือสำหรับพลังงานใหม่ ๒๐๑๒ และต่อๆ ไป อดามัส เซนต์เจอรืเมน ๗ มค ๑๒ และกรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ ขยายความบางส่วน

๑) เกินสมองคิด อย่าปล่อยให้สมองครอบคลุม ให้เชื่อมกับจิต มนุษย์คิดว่าความสามารถในการใช้สมองเป็นสิ่งประเสริฐสุด แล้วจิตอยู่ที่ใดเล่า อยู่ท่ามกลางลมหายใจในความเงียบเมื่อคุณหยุดคิด ถ้าคุณทำสมาธิโดยใช้สมองก็ยังหยุดเสียงจากความคิดไม่ได้อีกด้วย ท่านอดามัสและโทไบอาสไม่ชอบการนั่งสมาธิ บอกว่าทำสมาธิได้ดีกว่าถ้าไปเดินระยะไกล หรือท่านโทไบอาสจะบอกว่า ให้ทำสมาธิในทุกลมหายใจ ในทุกประสพการณ์ ไม่ใช่หลีกลี้ไปนั่งในห้องคนเดียววันละ ๒๐ นาที

แล้วถ้าเกินสมองคิดแล้วจะไปไหน ก็ให้เชื่อความรู้สึกตัวเอง (เดี๋ยวก็เกิดเรื่องหรอก คนในครอบครัวว่าฉันใช้ความรู้สึกมากเกินไป เดี๋ยวๆ ก็น้ำตารื้น คุณจะโต้แย้งทันที ใช้สมองอีกแล้ว...) ให้เชื่อตัวเอง เชื่อความรู้สึกจากภายใน ปล่อยวางและยอมรับถ้าได้ฟังเช่นนี้ผู้คนจะกลัวมาก เพราะเราถูกฝึกให้ใช้สมองมาตลอด แต่ขณะนี้คุรจะไปในที่ๆ เกินกว่าการมีตัวตน ไปสู่ตัวตนดั้งเดิมที่สูงกว่า ตัวตนที่มีทั้งกายหยาบ สมองอและอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวตนที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง การจะพบพานตัวตนนั้นเครื่องมือที่ต้องการคือลมหายใจ ความเชื่อมั่น และประสพการณ์ (ของตัวเองหรือผุ้อื่น) ที่จะไปได้ไกลกว่าที่เคย... คุณไม่สามารถยกระดับจิตด้วยสมองแต่อย่างเดียวได้นะ

เครื่องมือนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในปี ๒๐๑๒ นี้ เพราะเพราะจะมีการกระแทก การก้าวไปข้างหน้าและถดถอย ผู้คนจะพยายามคิดและตีความ คิดมากไป ขอให้หยุดและหายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าลึกๆ ให้เครื่องมือไปแล้วหวังว่าคุณคงจะใช้มัน ใช้ได้ทุกขณะเท่าที่คุณต้องการ

๒) ลืมกฏเกณฑ์ไปเลย ลืมเลยว่าใครเขาว่าอะไรดีอะไร ชั่ว คุณพิจารณาเอาเอง ยิ่งถ้าคิดว่าโลกจะแตกธค. นี้ก็ให้เอนจอยโลด... จัดปาร์ตี้ เฉลิมฉลอง ... อย่างมีสไตล์ให้มันรู้ไป ให้ตามความฝัน ใช้ชีวิตและเอนจอย

กฏเกณฑ์ทางสังคม เป็นสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมาให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติพอประมาณ แต่ข้อนี้พูดถึงกฏเกณฑ์ที่คุณตั้ง ขึ้นมาเพื่อตัวเอง เช่นอะไรควรหรือไม่ควรทำ ต้องวางตัวอย่างไร แต่งกายอย่างไร อะไรดีหรือไม่ดี.. กฏเกณฑ์พวกนี้ ที่พ่อแม่ ครูอาจารย์ สังคมวัฒนธรรม วงการบันเทิง ผู้นำจิตวิญญาณฝังหัวเรามา เมื่อคุณรู้สึกอึดอัด คุณก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่กฏของคุณ ก็ไม่ต้องเอามาใช้อีกต่อไป ให้หาวิธีของตัวเองที่จะแสดงตัวตนให้สบายใจโดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

๓) เชื่อมั่นตนเอง แล้วนำประสพการณ์มาเสริมสร้างปัญญา คุณเชื่อตัวเองไหม อันนี้สำคัญมากนะ เมื่อคุณรวม higher self กับจิตคุณแล้วคุณจะสว่าง และแสงสว่างจะเริ่มฉายแสงให้เราเห็นความจริงรอบๆ ตัว แต่คุณจะบอกคนอื่นอย่างไร ความสงสัยคือความมืดมน ทำให้จน หิว โง่ และทุกข์ยาก ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจข้อนี้ โลกที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถูกสร้างขึ้นด้วยกรอบความเชื่อทางสังคม การเลือก และดึงดูดพลังงานหนาหนัก ผู้คนก็มีชีวิตในพลังงานนี้ แถมถูกสอนไม่ให้เชื่อตัวเองเสียอีก

ปัจจุบันพลังงานที่เข้ามาเป็นพลังงานส่งเสริมจิตวิญญาณ ถ้าคุณระแวงจะต้านกับพลังงานนี้ และส่งคุณเข้าสู่วงจรความระแวงที่ลึกลงไปอีก จะออกมาได้อย่างไร จะกลับมาเชื่อตนเองได้อย่างไร เมื่อผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วคุณไปบอกให้เขาเชื่อตัวเองเขาจะเดินหนีไปเลย แล้วไปพบเหตุการณ์ไม่ดี เช่น ลื่นล้มหัวแตก คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ต้องให้เขายอมรับการเรียนรู้เรื่องความเชื่อตนเอง ต้องเข้าใจความไม่เชื่อมั่นก่อน อาจพบเจอหลายครั้งหลายหนกว่าจะเข้าใจ กว่าจะเชื่อตัวเองได้ต้อง "รักตัวเอง" ก่อน นางฟ้าเทวดาที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ต้องเรียนการรักตัวเอง บทเรียนนี้ยากที่สุดเลย

ขอให้เชื่อสิว่าคุณทำได้ คนส่วนใหญ่เขียนกรอบให้ชีวิตตนเองแคบมาก โยงใยจากประสพการณ์ในอดีตเลยเขียนอนาคตให้แคบลงใหญ่และไม่กล้าก้าวข้ามความกลัวออกมา เขาอยู่ในห้องเล็กในวังใหญ่ แต่ไม่เคยกล้าเปิดประตูออกมาดูห้องอื่นเพราะเด็กดีต้องไม่ดื้อไม่ซนไม่ทำตัวยุ่งยาก... น่าสงสารนะข้างนอกมีอะไรอีกมากมาย...

๔) ปลดปล่อยความคาดหวัง ก่อนจะไปสู่ความเชื่อมั่นในตนเองคุณจะต้องละวางความคาดหวังว่าผลลัพธ์การกระทำจะเป็นเช่นไรเสียก่อน เช่น ทำดีเพื่อทำดี ไม่ใช่เพื่อได้บางสิ่งตอบแทน (ได้ก็ดี แต่ไม่ได้ทำเพื่อให้ได้มา) มนุษย์จะทำได้ไหม มนุษย์จะบอกว่า ถ้าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการแล้วจะเล่นเกมทำไมเล่า จะวางความคาดหวังทำไม ดังนั้นก็สมควรจะทุกข์ต่อไป....

ขบวนการปลดปล่อยความคาดหวังและเชื่อมั่นตัวเอง ในที่สุดเพื่อยอมรับและรักตัวเอง ที่คุณ (ผู้อ่าน) ได้ผ่านพบมาคุณผ่านนรกมาก่อนแล้ว พวกคุณผ่านประสพการณ์ที่มนุษย์ทั่วไปรับไม่ได้ เช่น ตกงาน ผิดหวังจากความรัก เสียคู่ครอง หรือปัญหาสุขภาพที่ใหญ่หลวง เหล่านี้ไม่ใช่ประสพการณ์เชิงบวกสำหรับมนุษย์ แต่สุดท้ายคุณก็เข้าใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการเรียนรู้ของคุณ สิ่งเหล่านี้จำต้องจากไป คุณต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณข้างในกับเหตุการณ์ภายนอก

๕) ทุกอย่างจะโอเค
เป็นเครื่องมือง่ายๆ ใช้กับคนที่ไม่เข้าใจข้อ ๑-๔ ข้างต้น ไม่ว่าเขาจะตกงาน เป็นมะเร็ง... บอกเขาว่าทุกอย่างจะโอเค เราไม่ไปแก้ปัญหาให้เขา แต่เราเข้าไปด้วยความรัก ความอบอุ่น แล้วบอกว่าทุกอย่างจะโอเค มันจะโอเคเมื่คุณเป็นคนพูด เพราะคุณผ่านเหตุการณ์ของคุณมาได้ก่อนแล้ว...พลังงานที่มาจากคุณเมื่อคุณพุดประโยคนั้นและจ้องตาเขา มันสร้างความเชื่อมั่น เพราะคุณอยู่ในจุดนั้นมาก่อน ผ่านมาได้และยังไม่แตกสลาย มันจะโอเคเพราะฉันเลือกให้มันโอเค พลังงานเป็นใจให้ฉัน ทำไมล่ะ เพราะฉันเป็นผู้กำหนดชีวิตฉันเอง (ฉันคือพระเจ้าผู้สร้าง) I am that I am. ทุกอย่างจะโอเค...ตัวเราก็ไม่แคร์ถ้าเราจะตาย มันก็จะโอเคอยู่ดี จริงไหม

แล้วเขาก็จะถามว่า ฉันจะมีเงินจ่ายหนี้ไหม พิโถ ฉันเองเป็นเทวดามาเล่นบทมนุษย์ ฉันสามารถปลดหนี้ได้หมดไหม โอย ยังไม่ได้หรอกคุณ ไม่ต้องแคร์ ถ้าไม่ไหวก็จดล้มละลายไป ไม่ต้องแคร์

เมื่อคุณบอกใครๆ ว่าทุกอย่างจะโอเค คุณจ้องตาลึกถึงจิตวิญญาณภายในและสื่อสารกับจิตยั้น จิตวิญญาณเป็นอมตะ ได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง แต่ใบทวงหนี้... นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยังไงมันก็จะโอเค คุณอาจจะได้เงินมา คุณอาจไม่มีเงิน คุณอาจพบรักใหม่ คุณอาจหาอย่างไรก็ไม่พบรักดังกล่าว อย่างไรๆ มันก็โอเค คุณเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง คุณจะรู้ว่าจริงๆ คุณไม่ได้ต้องการเงินหรอก คุณมีพลังงานที่คุณต้องการแล้ว ทุกอย่างจะโอเค

ถ้าเขาถามว่าผมจะได้งานใหม่ไหม บอกไปซิว่าอาจได้ หรืออาจไม่ได้ แต่มันจะโอเคนะ

๖) ตอบรับความเปลี่ยนแปลง หรือแสวงหาความเปลี่ยนแปลง ปรับตัวให้ได้อยู่เสมอ เพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้เราหลุดจากการยึดติด ความไม่เที่ยงคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด ถ้าคุณยอมรับหรือเชื้อเชิญมันเข้ามาทีละน้อยๆ คุณจะมีชีวิตที่ง่ายขึ้น ไหลลื่นไปกับครรลองชีวิต ทำไมมนุษย์จึงไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะมันอึดอัด และคุณก็ไม่รู้อะไรเนื่องจากขาดข้อมูล คุณอยู่ในห้องเล็กไม่มีหน้าต่างภายในคฤหาสน์ใหญ่โตสวยงาม คุณชินกับการดำรงชีวิตเพราะมันบริหารจัดการได้ ห้องอื่นคือควาไม่รู้ ใหญ่โตเกินคาดการณ์

คุณต้องขอบคุณพระเจ้าที่ให้การเปลี่ยนแปลงมานะ ขอบคุณตัวเองด้วย ีมีการเปลี่ยนแปลงแบบวิวัฒนาการที่เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เปลี่ยนตารางการใช้ชีวิตบ้าง ขยับสิ่งเล็กๆ เวลาเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นเช่น ตกงาน คู่จากไป เหล่านั้นจะกระเทือนคุณน้อยลง ให้อ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลง แต่มีทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะคนเราก็เหมือนลูกตุ้มนาฬิกา คนส่วนใหญ่มีพลังชีวิตแต่ไม่ใคร่เคลื่อนที่ จึงให้ขยับลูกตุ้มนาฬิกา เมื่อมันเริ่มเคลื่อนที่มันจะไปทั้งสองข้างของการตัดสินทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ แต่คุณเชื่อมั่นมากพอไหมที่จะปล่อยให้ลูกตุ้มแกว่งไกว ใครล่ะที่ทำให้ลุกตุ้มของคุณเคลื่อนที่ ไม่ใช่ใครหรอกก็ตัวคุณนั่นแหละ

๗) หัวเราะ พวกเราไม่ซีเรียสกับชีวิตนี้เท่ากับคนอื่น ตามจริงเรื่องหัวเราะนี้ต้องมาก่อนหัวข้ออื่น ปี ๒๐๑๒ นี้คุณต้องการเสียงหัวเราะ เมื่อคุณได้ยินเรื่องสุดบ้าคลั่งจากผู้อื่น มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น หัวเราะเถิด

คนบางกลุ่มต้องทุกข์ทรมาณกับผลลัพธ์ของเขาในเรื่องที่เขาเลือกเอง มันเป็นประสพการณ์ของเขา สิ่งที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณต้องหัวเราะให้เป็น

๘) ฝันให้ไกล ทำใจให้เชื่อมั่น... เรามีความใฝ่ฝันที่ช่วยพาเราฝ่าฟันยามทุกข์ยาก อย่าเอาไปปะปนกับเป้าหมายชีวิต เป้าหมายเป็นเรื่องของสมอง และเมื่อเราตังเป้าส่วนใหญ่มันเกินเลยความเป็นไปได้ไปนิดหนึ่ง

แต่ความใฝ่ฝัน สิ่งนี้มักมาจากใจ ฝันให้กว้างโดยไม่ต้องกะเกณฑ์ว่าจะมีกี่ขั้นตอนที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความฝันมาเป็นจริง มันจะขยายไปเรื่อยๆใกล้จุดหมายเข้าไปทุกทีๆ มีตัวตนของคุณในอีกหลายมิติที่มีความใฝ่ฝันเดียวกันนี้ เขาอยู่นอกห้องแคบๆ ของคุณเก็บละอองฝันมาสะสมสร้างจินตภาพให้คุณ สำหรับคุณผู้รู้ตื่น ฝันให้ไกล ทำใจให้เชื่อมั่น..เป็นสิ่งสำคัญมากในปีนี้ พยายามหาว่าอะไรคือความรู้สึกองค์ประกอบของความฝันของคุณ ถ้าฝันใหญ่ยังไปไม่ถึงเอาแค่องค์ประกอบเป็นจริงก่อนได้ไหม เมื่อไตร่ตรองให้ดีๆ เราอาจไม่ต้องรอให้ภาพใหญ่สมบูรณ์จึงจะเป็นสุขได้ มีความสุขในวันนี้ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้

เมื่อคุณพยายามไปให้ถึง เริ่มสะสมองค์ประกอบย่อยของฝัน พลังงานของความฝันคือการแสดงออก ความเบิกบานในการแลกเปลี่ยนความสุขที่ได้รับกับผู้อื่น เหล่านี้เป็นสัญญลักษณ์แทนภาพแห่งจุดหมาย ถ้าไปไม่ถึงก็มิได้ผิดพลาดอะไร เมื่อคุณเริ่มสำเหนียกในความฝันและเริ่มเดินทางเพื่อไปให้ถึง แล้วคุณก็รู้ตื่นว่าพลังงานดีๆ และความสุขอยู่ในเส้นทางไม่ใช่ปลายทาง ปลายทาง...ไปถึงหรือไม่...ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป...

๙) ตามความต้องการของหัวใจ... ก่อนอื่นต้องมีความเชื่อในตนเองก่อน (trust) ถ้าไม่เชื่อก็ทำตามใจไม่ได้ เพื่อนฝูงจะบอกว่า "ฉันเคยทำตามหัวใจแล้ว ผลออกมามันแย่มากเลย ดูสิเลยแต่งงานกะสามีคนนี้ สุดท้ายเอาไหนเสียที่ไหน..." นั่นไม่ใช่ทำตามหัวใจนะแม่คุณ คุณตามต่อม...ต่างหาก... (ฮา) แต่ในหลายโอกาสคนก็ตามหัวใจ แต่ผลก็ไม่ออกมาดี เป็นเพราะเหตุไรเล่า... เป็นเพราะหลายองค์ประกอบของเขายังอยู่ในมิติที่สามที่เป็นโลกความคิดและเป็นเส้นตรง มีส่วนที่ตามหัวใจ แต่ส่วนอื่นๆมากมายยังตามเส้นทางมิติที่สามอยู่ กระแสสวนทางกัน...มันไม่เวิร์คในสภาวะดังกล่าว ไม่นานเขาจะเรียนรู้ว่าทั้งหมดปล่อยให้ใจเป็นประธานได้ เมื่อปล่อยทั้งหมดเป็นเช่นนั้นทุกอย่างจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ขยายผล สร้างเสริมซึ่งกันและกันในเวลาเดียวกัน...

๑๐) ดูโลกให้เห็นละคร ในปี ๒๐๑๒ นี้โลกจะวุ่นวายมาก ความวุ่นวายหรือดราม่าจะแทรกตัวเข้าไปในทุกที่ในจิตใจของทุกคน ให้ดูละครมายาให้เป็นละคร ให้บอกทุกคนว่าเขาสามารถถอยออกมาเป็นผู้ดูได้ คุณไม่ต้องเข้าไปคลุกกับมัน คุณเลือกได้ แต่ให้เตือนเขาว่าพลังงานมันหนาแน่นมากมาย เหมือนรั้วไฟฟ้า คุณไม่ต้องแตะรั้วด้วยมือเปล่าให้เจ็บตัว แค่ให้เข้าใจว่ารั้วมีไฟฟ้า จะผ่านเข้าไปก็เดินเข้าตรงช่องประตูแบบง่ายๆ อย่าเอื้อมมือไปแตะรั้วก็แล้วกัน ดูละครอารมณ์แต่อย่าไปคลุกกับมัน

Friday 13 January 2012

The Most Profound Question



The Most Profound Question

excerpt from Recording on July 30, 2005 in San Francisco, CA.

Guest:
So after about three year hiatus of being at the live events and listening to weekly CDs I've come up with two things I keep opening the CD and thinking my question is going to be in this CD it's in all the CDs but I can't quite get some of these things. Well actually my first question has to do with the question the evolution of the questions that have been discussed. At first it was a lot of what about child molestation? What about the Holocaust? How this Law of Attraction doesn't work here and there and that seems to have dropped away -

Abraham:
You know why? We never give a satisfying answer.

Guest:
You never give a satisfying answer?

Abraham:
No Not to those questions. We never tell anybody what they want to hear. Another words we say you create your own reality.. and then they say but what about bad things happen to other people and we say they create their own reality and then they say but why would anyboday create something they don't want to create me say because they don't know what they are doing they're offering vibration that they are not pay attention to.

Guest:
I think people eventually got that .. I kind of promise I won't ask this question but I will do that anyhow. Why the dogs risk getting bugs in their eyes sticking their heats out of car windows 

Abraham:
Well tell your friend that you have asked the most profound quesion that ever been asked. and you are gving us an opportunity to give the answer that we've neen waiting for very long time to give.

And that's is.. because the contrast of the bugs in the eyes is a small price to pay for the exhilaration of that ride. and it is exactly the same way you felt when you made the decision to come into this physical existence it's exactly the way you felt when you knew there will be contrast and you said the ride is going to be worth it.

ทำไมสุนัขถึงชอบเสี่ยงยื่นหน้าไปนอกหน้าต่างรถขณะกำลังวิ่ง




วันนี้ขอแบบเบาๆครับ.. เป็นบทถอดความ การถามตอบสั้นๆจากชายผู้หนึ่งที่เป็นผู้เข้าร่วมสัมนา Law of Attraction ครั้งหนึ่งที่ได้มีโอกาสนั่งเก้าอี้ร้อน (Hot Seat) คำถามลึกสุดใจ ลุ่มลึกที่สุดเท่าที่คนเคยถาม อับบราฮัม (ฮิกส์) ใครอยากฟังเองให้ได้อารมณ์ก็สามารถกดฟังจากคลิปได้เลย..  สำหรับเพื่อนที่ชอบอ่านก็เชิญติดตามได้เลยครับ

------------------------------
คำถามที่ลึกซึ้งที่สุด

เป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกเทปในวันที่ 30 กรกฎาคม 2548 ที่ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย

ผู้เข้าสัมนา:
ผมติดตามงานสัมนาสดและ CD รายสัปดาห์มา 3 ปี ผมมีคำถาม จึงทำซ้ำๆคือเปิด CD และหวังว่าคำตอบจะอยู่ในนั้น แต่ไม่ว่าจะเปิดกี่แผ่น ฟังกี่ครั้ง ผมก็ยังไม่เคยได้คำตอบ คำถามแรกมันเป็นคำถามที่เป็นเรื่องถกเถียง มันเกี่ยวกับการทารุณเด็ก การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ และอื่นๆ มันดูราวกับว่า กฎแรงดึงดูดมันไม่ทำงาน (ใครมันจะบ้าดึงดูดเรื่องร้ายกาจพวกนี้มาหาตัว) ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้

อับบราฮัม:
คุณรู้มั้ยว่าทำไม... ก็เพราะเราไม่เคยให้คำตอบที่น่าพึงพอใจหนะซิ

ผู้เข้าสัมนา:
ยังงัย..คุณไม่เคยให้คำตอบที่น่าพอใจเหรอ

อับบราฮัม:
ไม่..เราไม่เคยตอบต่อคำถามพวกนั้น เราไม่เคยบอกใครๆว่าเขาต้องการอะไร พูดอีกอย่างคือเราบอกว่าคุณสร้างความจริงของคุณเอง ... แล้วพวกเขาก็พูดขึ้นมาว่า "งั้นทำมัยมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับคนอื่นๆหละ" แล้วเราจึงตอบว่า "พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง"  พวกเขาก็ยังสงสัย "แต่ใครที่ไหนจะสร้างสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ" เราจึงตอบว่า "เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาส่งแรงสั้นสะเทือนโดยที่เขาไม่ได้ใส่ใจมันเลย

ผู้เข้าสัมนา:
งั้นผมก็คิดว่าที่สุดพวกเขาก็ต้องโดนแบบนั้นหละ .. ส่วนคำถามที่สองที่จริงผมสัญญากับใครบางคนไว้ว่าจะไม่ถามแต่ผมก็จะถามอยู่ดี คำถามคือ "ทำไมสุนัขจึงชอบยื่นหน้าไปนอกหน้าต่างรถขณะวิ่งอยู่ มันไม่กลัวแมลงจะเข้าตารึงัย" 

อับบราฮัม:
เอาหละ..ไปบอกเพื่อนคุณด้วยว่า คุณได้ถามคำถามที่มีความลึกซึ้งมากที่สุดเท่าที่มีคนเคยถามมาเลย และนั่นได้ให้โอกาสเราในการให้คำตอบที่เรารอมมานานแสนนาน

คำตอบคือ ..เพราะว่าเมื่อเทียบกันแล้ว แมลงเข้าตาเป็นการแลกที่ถูกและคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับความเบิกบานสุดๆของการได้นั้งรถต้านลม มันเหมือนกันเลยกับความรู้สึกตอนคุณตัดสินใจมาเกิดในรูปกายนี้ มันเหมือนกับความรู้สึกตอนคุณรู้ว่าชิวิตมันจะไม่ราบเรียบไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แล้วคุณก็พูดว่า... "ได้เกิดมานี่มันคุ้มเกินคุ้มจริงๆ..วู่ฮู่วววว์"

Thursday 12 January 2012

2012 ~ อย่างไรที่กล่าวว่ามิติที่ 3 กำลังจากไป



2012 ~ อย่างไรที่กล่าวว่ามิติที่ 3 กำลังจากไป
โดย จิม เซลฟ์ - 9 ธันวาคม 2011 

(2012 - What Do You Mean the 3rd Dimension Is Going Away? http://www.masteringalchemy.com/library/2012-what-do-you-mean-3rd-dimension-going-away)

ขณะที่ปี 2012 กำลังขยับเข้ามาใกล้ เป็นสิ่งที่เพิ่มความเร่งด่วนให้ช้อความนี้ เพราะเวลาทีเราจะได้เล่นบทบาทในมิติที่ 3 กำลังหมดไป

พูดง่ายๆคือ การคิดและรู้สึกที่เคยทำ และพฤติกรรมแบบมิติที่ 3 กำลังหายไป ทุกคนกำลังเคลื่อนเข้าจิตสำนึกและประสบการณ์แห่งมิติที่ 4 แล้วจะตามมาด้วย จิตสำนึกและประสบการณ์แห่งมิติที่ 5

อย่างไรก็ตาม คนส่วนให้บนดาวดวงนี้ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลนี้ แต่ยังงัยมันก็จะต้องเกิดขึ้น และสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวของการเปลี่ยนนี้ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ยากและกระอักกระอ่วนพอตัว

แต่นี่จะเป็นช่วงเวลาที่สนุกยอดเยี่ยมเช่นกัน ด้วยข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลง และ ความเข้าใจในมิติต่างๆ ร่วมกับเครื่องมือง่ายๆที่จะช่วยจัดการความคิดและความรู้สึกของเรา เราทุกคนก็สามารถพัฒนาจิตสำนึกของพวกเราได้ พร้อมกับการขยับเช้าสู่เขตแดนที่มีความถี่สูงขึ้นได้อย่างงดงามและสนุกสนาน

หากคุณไม่ทราบว่ามิติต่างๆคืออะไร..คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวหรอก คนส่วนใหญ่เล่นเกมชีวิตที่เรารู้จักในมิติที่สามโดยไม่มีคู่มือกติกาของเกมส์ที่จะอธิบายว่ากำลังอะไรและจะเล่นอย่างไรให้ชนะ

บทความนี้จะให้กฎระเบียบขั้นพื้นฐานที่ไม่มีใครบอก มันจะอธิบายว่าอะไรคือมิติที่สาม มิติที่สี่ และห้า และว่าทำไมความรู้ความเข้าใจเหล่านี้สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณตอนนี้

ถ้าคุณเข้าใจโครงสร้างและการเล่นเกมส์(ชีวิต)ในมิติเหล่านี้ คุณจะเริ่มเล่นเกมส์ได้อย่างคล่องแคล่วผ่านการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นตาตื่นใจโดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องออกแรงใช้ความพยายาม ไม่ต้องเครียดและวิตกกังวล เกิดประจำในชีวิตประจำวันของเรา

ก่อนอื่นเลย.. เรามาดูกันว่าอะไร "ไม่ใช้" มิติ

มิติไม่ใช่สถานที่ และมิติก็ไม่ได้มีลำดับเชิงเส้น 3, 4, 5, 6 ต่อๆกัน มิติที่ 3 หรือมิติที่ 4 ไม่ได้เป็นเก้าอี้ที่คุณกำลังนั่งอยู่ หรือไม่ใช่ผนังที่ล้อมรอบตัวคุณ ไม่ใช่แม้กระทั่งโลกใบนี้เอง ที่กล่าวมานั้นเป็นรูป(แบบ)ที่มีอยู่มากในมิติที่ 3 และ 4 และที่จะยังคงเป็นส่วนสำคัญของเกมในมิติที่ 4 แม้เมื่อมิติที่ 3 ได้ผ่านไปแล้ว  

โดยทั่วไป มิติ คือระดับภาวะของจิตสำนึก ที่มีให้ทุกคนที่สั่นสะเทือนสอดคล้องกับความถี่หนึ่งๆ รวมทั้งโอกาส(ความเป็นไปได้)ต่างๆที่มีอยู่ในแต่ละมิติ

คุณจะมองว่าแต่และมิติ ก็เป็นเกมส์คนละเกมส์ที่มีกติกาว่าเล่นแบบไหนอยู่ในกติการหรือแบบไหนผิดกติกาก็ได้ แล้วอะไรหละคือมิติที่  3

มิติที่สาม มีลักษณะเป็นกรอบความเชื่อที่เข้มงวด  พร้อมกฏและช้อจำกัดที่ไม่ค่อยจะยืดหยุ่นเอาซะเลย  พวกเราส่วนใหญ่เล่นเกมนี้มาหลายชั่วชีวิตแล้ว ดังนั้นเราจึงมีแนวโน้มที่จะคิดว่ามันเป็นเกมเดียวที่มีให้เราเล่นได้ แต่มันก็เป็นความจริงอย่างที่สุดว่า หนึ่งในความเชื่อที่เข้มงวดแบบมิติที่ 3 ว่าโครงสร้างชีวิตของเรา ความคิดและความรู้สึกและการกระทำของเราอยู่ในเวลาเชิงเส้น

เวลาเชิงเส้นเป็นความเชื่อและโครงสร้าง(ที่เราเลือกได้) ที่ทำให้เรามีชีวิตโดยมีประสบการณ์ที่ผ่านไปแล้วและกำลังจะเกิดขึ้น ... แล้วเราก็ตาย เพราะความเชื่อนี้เป็นสมมติฐานตั้งต้นของจิตสำนึกแบบมิติที่ 3 เหตุการณ์ต่างๆยืนยันความเชื่อส่วนนั้น พวกเราส่วนใหญ่ก็คิดและทำราวกับว่ามันเป็นความจริง

แต่ตอนนี้เราทุกคนตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตาของความเชื่อที่แพร่หลายนี้ และขณะที่คุณรู้ตัวมากขึ้น คุณก็จะรู้ว่าเวลาในมิติที่ 3 มันวิ่งวนซ่ำไปเรี่อยๆ สิ่งที่คุณประสบในอดีตกลับเป็นสิ่งที่คุณใส่ใจในขณะนี้ แล้วคุณก็ทำความจริงนั้นให้เกิดขึ้นในอนาคต  ดังนั้นคุณจึงต้องประสบกับเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดังนั้นโครงสร้างของเวลาในมิติที่ 3 นี่เจาะจง(และจำกัด)มาก  แต่ประสบการณ์ทางเวลาของคุณจะแตกต่างกัน (และเสริมอำนาจ) ขรธที่คุณย้ายเข้าไปในมิติที่สูงขึ้น

คุณจะเห็นว่า ในประสบการณ์ที่ประสบในโลกนี้ เราสามารถเข้าถึงได้ทั้งจิตสำนึกแห่งมิติที่ 3 และ มิติที่ 4 แต่เราส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ก้าวข้ามนิสัยฝังแน่นของความคืดและความรู้สึกแบบมิติที่ 3 เลย

ในมิติที่ 3 นี้เรายังไม่มีทางได้เลือก เราไม่ได้เลือกความคิด ความรู้สึก และการกระทำในแต่ละขณะ (ซึ่งเป็นทักษะของมิติที่ 4 และที่ 5) เรากลับโต้ตอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนและสถานะการณ์ที่โผล่ขึ้นมาจากความเชื่อและการฝึกแบบที่ไร้สติ

ทวิภาวะ(ธรรมคู่)เสริมสร้างโครงสร้างอันแข็งแกร่งสำหรับประสบการณ์ 3 มิติ ขึ้น/ลง ซ้าย/ขวา ควร/ไม่ควร นับตั้งแต่การล่มสลายของแอตแลนติ 12,500 ปีก่อน เราใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว และในความหวาดกลัวนั้น เราเรียนรู้ที่จะมองแคบๆ กำหนดกฎเกณฑ์ จำกัดวงว่าสิ่งนี้ดี/ไม่ดี สิ่งนี้ถูก/ผิด ฯลฯ การพิพากษาโดยไม่รู้ตัวก็แทรกซึมในทุกความคิดแบบมิติที่ 3

ยิ่งไปกว่านั้น เรารับรู้ประสบการณ์มิติที่ 3 ของเราส่วนใหญ่ด้วยสมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นบ้านของจิตใจที่ใช้เหตุผลตรรกะ เราจึงใช้เพียงประมาณ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของกำลังความสามารถของสมองในการเล่นเกมมิติที่ 3 เราส่วนมากสงสัยว่าส่วนที่เหลือของสมองของเราจะต้องทำบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไม่รู่เลยว่ามันทำอะไรและทำงานอย่างไร 
ในความเป็นจริง สิ่งที่ส่วนที่เหลือของสมองเปิดให้เราทำคือ การทำงานในที่สูงกว่าที่ 4 และ 5 มิติ และมิติอื่น ๆที่สูงขึ้นไปอีก
เราพร้อมอยู่แล้วด้วยศักยภาพ อุปกรณ์เครื่องจักรและการเชื่อมโยงที่จำเป็นทั้งหมดพร้อมอยู่แล้วขณะนี้ที่จะมีจิตสำนึกในมิติต่างๆทั้งหมดนี้ แต่นิสัยการคิดและสัมผัสที่ฝังลึกมายาวนานหลายชั่วอายุคน  ปิดหูปิดตาปิดปากและขังเราไว้ให้สัมผัสประสบการณ์แบบมิติที่ 3 เท่านั้น สมองซีกซ้ายของเราบ้านของตรรกะนั้นรู้แต่สิ่งที่มันรู้ และไม่รู้สิ่งที่ไม่รู้ และมันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อเก็บเราไว้ในช่วงแคบๆของกรอบความจริง (ที่จำกัด) ของความคิดและความเป็นไปได้ในมิติที่ 3  และเราส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่จากนี้ไป...ไม่อีกแล้ว

พลังงานแสงและความถี่ที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงนี้ที่มีกำลังตัดต่อสมองของเราเพื่อให้เราสามารถเข้าถึงช่วงกว้างมากขึ้นของข้อมูลและความเป็นไปได้มากกว่าสามารถใช้ได้ในมิติที่ 3 พลังงานแสงเหล่านี้กำลังเตรียมเราสำหรับประสบการณ์ในมิติที่  4 และที่ 5 รวมไปถึงการล้างกฎเหล็ก 3 มิติจากจิตสำนึกของเรา ดังนั้นมิติที่ 4 คืออะไร

กติกาของสำนึกในมิติที่ 4 ให้ความรู้สึกของ ความเบาสบาย ความเป็นไปได้ ความสามารถที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างของมิติที่ 3

เวลาในมิติที่ 4 เป็นปัจจุบันเสมอ การมุ่งเน้นที่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ร่างกายของเรารู้อยู่แล้วแค่เวลาปัจจุบัน มันไม่รู้จักเมื่อวานนี้ หรือ พรุ่งนี้ และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสำนึกธรรมชาติในการจัดขบวนให้เข้ากันได้กับมิติที่ 4 ที่สูงกว่า เราดำรงชีวิตอยู่ มีความตระหนักรู้และมุ่งความสนใจแต่ในปัจจุบันตลอดเวลาอย่างสมบูรณ์ เมื่อจุดความสนใจของเราอยู่กับปัจจุบันขณะเฉพาะหน้า ความตระหนักรู้ และ ทางเลือก ก็จะกลับมาอีกครั้ง เราสามารถเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหลายด้วยความรู้สึกของการปล่อยวาง ไม่ติดยึด มันเป็นเพียงข้อมูลที่จะต้องพิจารณาเท่านั้น จากฐานที่สงบนิ่งและไม่รกรุงรัง เราจะมีอิสระที่จะเลือกตอบสนองของเราเอง ในมิติที่ 4 เรากลายเป็นผู้เลือกได้(ที่จะตอบสนอง)

แนวคิดและความเป็นไปได้หรือที่ยังขัดแย้งกัน (Paradox) ยังจะมีอยู่ในสำนึกปัจจุบันของมิติที่ 4  ทางเลือกที่ขัดแย้ง(Paradox) แค่บอกเราว่าสิ่งที่ถูก(เป็นจริง)เมื่อครู่อาจไม่ถูกในปัจจุบันก็ได้ และสิ่งที่ผิด(ไม่เป็นจริง)เมื่อครู่ก็อาจไม่ผิดอีกต่อไปก็ได้ แทนที่จะใช้ความเข้าใจเดิมๆการตัดสิน(ว่าถูกผิด ดีเลว ได้ไม่ได้)เดิมที่มีมาก่อน เราเลือกรับรู้และสั่นสะเทือนในแบบที่เราชอบได้เองในทุกช่วงเวลา

ดังนั้นขณะที่เราขยับเข้าไปในจิตสำนึกมิติที่ 4 ในเวลาปัจจุบัน ด้วยพลังของทางเลือก(ที่เราเลือกได้) ตอบสนองเชิงรุก (response-ability) ความเป็นไปได้ของความขัดแย้ง (เคยถูดก็อาจไม่ถูก เคยผืดก็ไม่ผิดตลอดไป) และ ความสามารถในการแก้เกมส์ เพื่อ ยกระดับความสุขและสุขภาวะของเราจะมีขึ้น

ที่น่าสนใจคือจิตสำนึกของมิติที่ 4 ไม่ได้เป็นตัวเลือกในระยะยาวหลังจากความเปลี่ยนแปลงได้ล้างโครงสร้างสำนึกอันคับแคบตายตัวชองมิติที่ 3

มิติที่ 4 จะทำหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็น แต่จะอยู่กับเราช่วงสั้นๆ เป็นบันไดหรือฐานแห่งความสั่นสะเทือนเพื่อก้าวข้ามไปยังสำนึกมิติที่ 5 ที่เป็นเป้าหมายของดาวเคราะห์โลกและทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ อัครเทวฑูต (The Archangels) ได้กล่าวว่าสำนึกรวมของโลกจะเป็นมิติที่ 5 ในปี 2015

แต่ถึงแม้ว่าจะมีมิติที่ 5 เป็นเป้าหมาย ประสบการณ์จากมิติที่ 4 ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เราไม่สามารถเข้าสู่มิติที่ 5 ได้โดยตรงจากมิติที่ 4 สัมภาระทางจิตและอารมณ์จากมิติที่ 3 ที่จะต้องไปถูกทิ้งไว้ที่ประตูไปสู่มิติที่ 4 และเราสามารถเช้าสู่มิติที่ 5 หลังจากที่เราได้เชี่ยวชาญการใช้ความคิดและความรู้สึก ในสำนึกมิติที่ 4

มีส่วนประกอบบางอย่างเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นมิติที่ 5 คืออะไร

มิติที่ 5 ดำเนินไปในลักษณะที่แตกต่างจากมิติที่ 3 และที่ 4 อย่างมาก

สำนึกเวลาในมิติที่ 5 เป็นสำนึกเวลาฉับพลัน หมายความว่าทุกอย่าง (ความเป็นไปได้ทั้งหมด) เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ในสำนึกมิติที่ 5 คุณมุ่งความสนใจของคุณ แล้วคำตอบหรือประสบการณ์ก็จะถูกมอบให้คุณเมื่อใดและที่ไหนก็ตามที่คุณพุ่งความสนใจไป

ร้องขอแล้วคุณจะได้รับ

ในสำนึกมิติที่ 5  คุณไม่ต้องขยับหรือไปไหนเพื่อหาคำตอบหรือประสบการณ์ ทุกอย่างมาหาคุณเองอย่างง่ายๆไม่ต้องออกแรงมากมาย ขึ้นอยู่กับจุดที่ให้ความสนใจและการสั่นสะเทือนที่คุณเลือกในทุกช่วงเวลา

เมื่อคุณกำลังสั่นสะเทือนในจิตสำนึกมิติที่ 5 คุณไม่ได้สร้างด้วยรูป (form) อย่างที่คุณทำในมิติที่ 3และ 4  คุณสร้างขึ้นด้วยแสง รูปแบบของแสง และความถี่ของแสง คุณจะประยุกต์ใช้เสียง สี และรูปทรงเรขาคณิต คุณโต้ตอบกับผู้สร้างและเทพแห่งแสงทั้งมวล (คุณเองก็เป็นเทพแห่งแสงเช่นกัน -ผู้แปล) ด้วยสำนึกรู้พร้อม

ในจิตสำนึกระดับสูงนี้ การคิดใช้เหตุผลตรรกะมีบทบาทน้อยมาก มันจะกลับไปมีขอบเขตเล็กลงมุ่งเน้นเฉพาะกิจดั้งเดิมคือสุขภาพที่ดีของร่างกาย

แต่ก่อนที่เราจะย้ายเข้ามาสั่นสะเทือนในสำนึกห่งมิติที่ 5 ก่อนอื่นเราต้องเชี่ยวชาญคล่องกับการสั่นสะเทือนและความเป็นไปได้ของสำนึกมิติที่ 4 ก่อน นี่เป็นประเด็นสนใจของการเปลี่ยนแปลงสำหรับคนส่วนใหญ่ ในเหตุการณ์ที่เร่งจี้เข้ามาเรื่อยๆของปี 2012

แล้วคุณจะกลายเก่งในจิตสำนึกมิติที่ 4 ได้อย่างไร เครื่องมือของเวลาปัจจุบันแห่งมิติที่ 4

อย่างที่ผมกล่าว มิติที่ 4 คือ'ตอนนี้'ของ'เวลาปัจจุบัน.' แต่เวลาปัจจุบันที่จริงมีสี่ระดับที่แตกต่างกัน

ในปี 2010 เราทุกคนก้าวเข้าสู่ระดับที่สาม ขณะที่เราขยับเข้าปี 2012 เราจะเข้าสู่ระดับที่สี่, และระดับสุดท้าย ในระดับนั้น เมื่อคุณคิดว่า 'ฉันต้องการแอปเปิ้ล' แอปเปิ้ลจะไปปรากฏในมือของคุณ โดยปกติเมื่อผมบอกอย่างนั้นคนจะรู้สึกตื่นเต้นมาก และมันก็เป็นที่น่าตื่นเต้นจริงๆ หากแต่ว่า ... มันมีข้อแม้

ส่วนใหญ่ของผู้คนบนโลกนี้ไม่ได้เตรียมไม่พร้อมจะควบคุม ทุกความคิด ทุกความรู้สึก และทุกการกระทำของพวกเขาในทุกช่วงเวลา นั้นไม่ใช้ทางเลือก แต่มันเป็นความจำเป็นทักษะพื้รฐานสำหรับจิจสำนึกที่สูงขึ้ในมิติที่ 4 และ 5

หนึ่งในเหตุผลที่มิติที่ 3 ถูกสร้างขึ้นมา ก็เพื่อให้"สนามเด็กเล่น"ที่เราแต่ละคนจะสามารถซ้อม ขัดเกลา การสั่นสะเทือนของเหล่าคิดและความรู้สึกของเรา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ สนามเด็กเล่นมิติที่ 3 จึงมีกันชนของเวลา (time buffer) แทนที่จะ 'สำแดงทันที(ที่คิด)' จึงมีการหน่วงเวลาระหว่างความคิดที่เราคิดและการแสดงออกหรือประสบการณ์จากความคืดนั้น ส่วนใหญ่เราจะเหลวไหลเลินเล่อมากกับการหน่วงเวลานี้

แทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราต้องการ แล้วปล่อยให้มันเผยตัวเองตามการกาลเวลา เราสำรอกความโกรธเกรี้ยว ความอึดอัด ความเบื่อ ความกังวล, ความวิตก การใส่ความ ความผิด, ความกลัว -- ความรู้สึกนึกคิดระดับล่างและไม่กลมกลืน เราทำตัวราวกับว่าเราสามารถคิดและรู้สึกอะไรอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ เพราะเราไม่ได้เห็นผลทันทีของความคิดของเรา

แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ขณะที่เวลาเชิงเส้นในมิติที่  3 กำลังยุบลงไปในจุดเดียวแห่งเวลาปัจจุบัน ตัวหน่วงเวลาก็ยุบตัวลงเช่นกัน โอกาสเหลือน้อยลงทุกทีที่เราจะได้ฝึกฝนขัดเกลาทักษะการตระหนักถึงนิสัยจิตใจและอารมณ์ของเราก่อนที่สิ่งที่เราคิดคือสิ่งที่เราได้รับ นี้เป็นเรื่องใหญ่มาก

ยังโชคดีว่าเรามีเครื่องมือทางพลังงานอย่างง่ายที่สามารถช่วยคุณจัดการความคิดและอารมณ์ของคุณในทุกช่วงเวลาเพื่อให้คุณสามารถจะเตรียมไว้สำหรับ โอกาสที่คาดไม่ถึง และการมีชีวิตและการสร้างอย่างท้าทาย ในปัจจุบันในมิติที่สูงขึ้น

เครื่องมือทางพลังงานเหล่านี้สามารถใช้ได้ฟรีบน Alchemy Mastering เว็บไซต์ของเรา แต่ให้ผมอธิบายเครื่องมือเหล่านี้สองสามตัวเป็นตัวอย่าง แล้วปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงทำให้ความคิดและความรู้สึกของคุณกระจ่างขึ้น

พูดง่ายๆคือ การเปลี่ยนแปลงกำลังใช้คลื่นความถี่ของแสงคลื่นหนึ่งเพื่อล้างตัวตันที่ไม่ใช่เราอย่างแท้จริง และให้ใช้อีกคลื่นหนึ่งเพื่อเตือนเราว่าแจ้จริงแล้วเราเป็นใคร การเปลี่ยนแปลงนี้รู้ที่เราเก็บนิสัยคุ้นชินอันไม่พึงประสงค์ และ ความคุ้นชินกับการขาดสำนึกรู้ตัวในความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ตอบสนอง แสงสว่างกำลังช่วยะล้างทั้งหมดนี้จากการสั่นสะเทือนของเรา 

ขณะที่ความรู้สึกและความคิดเล็กๆเหล่านี้ถูกทำให้กระจ่างขึ้น มันจะชัดเจนในความตระหนักรู้ของเรา และดึงดูดผู้คนอีกทั้งสถานะการณ์ที่สะท้อยให้เห็นถึงพลังงานอันยุ่งเหยิงมาสู่เรา เมื่อถึงเวลานั้นคุณจัดการจะจัดการกับพลังงานที่มักจะมีอานุภาพนี้ได้อย่างไรเมื่อมันปรากฏขึ้น ก่อนอื่นคุณต้องปล่อยให้มันเป็นไป หากคุณเพียงเฝ้ามองพลังงาน(ที่มากับผู้คน สถานะการณ์ ความคิด และความรู้สึก)ด้วยความปลดวางไม่หยิบยึดขึ้นมา - มันก็จะสลายไปอย่างรวดเร็ว และคุณจะจำไม่ได้เลยว่ามันเรื่องอะไรกัน

แต่ถ้าคุณไปหยิบยึดจับถือพลังงานความคิดความรู้สึกอันยุ่งเหยิงนั้น ไปยับยึดกับความรู้สึกผิดหรือความกังวล ยังคงยืนยันซ้ำๆว่า 'ฉันรับไม่ได้นะ'  'พวกเขายังทำไม่ถูก' พลังงานเหล่านี้จะไม่ถูกลบออกจากพื้นที่ของคุณ - ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางชีวิตคุณจะมีแต่หลุมแต่บ่อมากมาย และจะยิ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้มากขึ้นๆสำหรับคุณ

จำไว้ว่าสิ่งที่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นไม่ใช่ของคุณ มันไม่ไช่เรื่องของคุณ แค่รับทราบและรู้ว่ามันกำลังจะมาถึงเพียงเพื่อจะถูกชำระล้างไป... ตลอดกาล สูดหายใจลึกๆ ไปเดินเล่น หรือฟังเพลง -- หันเหความสนใจของคุณไปยังเรื่องที่มีการสั่นสะเทือนที่สูงขึ้น จงทำความเข้าใจกับระดับบนล่างของมิติที่ 4

เพื่อลดความซับซ้อนอีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญของความเปลี่ยนแปลงนี้ ลองจินตนาการว่ามิติที่ 4 มีเพียงสองส่วน มิติที่ 4 ขั้นต้น และมิติที่ 4 ขั้นสูง(ซึ่งไม่เป็นความจริงในทางเทคนิค แต่มันเป็นความแตกต่างที่มีประโยชน์.)

อย่างที่ผมกล่าวแล้ว รูปแบบ(form)จะยังคงอยู่เมื่อ 3D หายไป เรายังจะได้สัมผัสกับบ้านเรือนและรถยนต์และต้นไม้ แต่ความกลัว การตัดสิน การโยนความผิด และความรู้สึกผิดจะหายไป พลังงานหนาทึบทางอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่หยุดยั้งเราจากการเล่นในมิติที่สูงขึ้นในขณะนี้จะถูกลบออกจากพื้นที่ของเรา

อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการสั่นสะเทือนของความคิดที่คุณกำลังคิดขณะที่มิติที่ 3 หายไป ที่คุณจะพบว่าตัวเองอยู่ในมิติที่ 4 ช่วงล่างหรือช่วงบน

มิติที่ 4 ขั้นต้น ซึ่งเรียกว่าระนาบทิพย์ (Astral Plane) หรือพื้นที่ฝัน ถือความคิดทั้งหมดที่เคยคิดโดยทุกคนในมิติที่ 3

คุณจะเห็นว่าความคิดที่ไม่ได้หายไปไหนหลังจากที่เราคิดมันแล้ว ความคิดเหล่านั้นยังอยู่ในมิติที่ 4 ชั้นล่าง โดยมีน้ำหนักเฉพาะ เนื้อ ความหนาแน่น และประจุอารมณ์ ความคิดถูกเชื่อมและเกาะกลุ่มกับความคิดอื่นๆ ที่มัคุณสมบัติคล้ายกัน

ความคิดบางอย่าง เช่นการกดขี่ข่มเหง การครอบงำ ความเป็นทาส สงคราม ความเกลียดชัง ให้ความรู้สึกหนัก หนา แน่น และมืด ตรงกันข้ามความคิดเช่น 'ผีเสื้อ' 'เด็กเล่นในสวนสาธารณะ' และ 'ดอกไม้บานในวันที่ฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น' จะให้ความรู้สึกเบาและมีความเรียบง่าย เป็นการสั่นสะเทือนอย่างปรอดโปร่ง ความคิดที่เบากว่าเช่นนี้ไม่ค่อยมีอิทธิพลในจิตสำนึกของมิติที่ 3 เพราะเพื่อที่จะจัดและรับรู้การสั่นสะเทือนของความคิด ยกตัวอย่างเช่น 'ความงาม' เราจะต้องก้าวออกจากสำนึกมิติที่ 3 เข้ามาสู่เวลาปัจจุบันใรพื้นที่ของมิติที่ 4

คุณบอกว่าคุณรู้ว่าจัก 'ความงาม' แน่นอนคุณรู้จัก เพราะเราตอนนี้อาศัยอยู่ในทั้งมิติที่สามและมิติที่สี่ในเวลาเดียวกัน แต่มันบ่อยแค่ไหนที่คุณจัดตำแหน่งตัวเองด้วย และซึมซับแช่อยู่ในความรู้สึกของความงาม

มันเป็นทักษะแห่งมิติที่ 4 ที่จะรับความคิดที่นำแสงสว่าง ความปรอดโปร่ง และ ความงาม เข้ามาสู่หัวใจ แรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ไม่มีในยามเร็งรีบ ในอดีต/อนาคตของมิติที่ 3 ที่มันยากมากที่จะหยุดเวลาไว้ เพื่อชื่นชมกลิ่นหอมดอกไม้ในขณะนั้นๆ

แต่ในอีกด้านหนึ่ง คุณเคยสังเกตมั้ยว่าความคิดที่หนักอึ้ง น่าอึดอัดเหล่านี้เช่น ฉันมันไม่ดีพอ ไม่มีใครชอบฉันเลย หรือ ฉันไม่มีวันทำมันสำเร็จแน่ๆ มีแนวโน้มที่จะแช่อยู่นานกว่าในจิตสำนึกของมิติที่ 3 นี้เป็นเพราะความคิดก็เหมือนไฟฟ้า อารมณ์เป็นเหมือนแม่เหล็ก การสั้นสะเทือนที่สว่างโปร่งโล่งจากความคิดเช่น 'ความงาม' 'ความการุณ' กลับมีประจุไฟฟ้าต่ำและนุ่มนวลกว่าที่มีการขยายตัว(expansive)และลื่นไหล(fluid) แต่ในขณะที่ความคิดหนักๆน่าเกลียด จะมากับประจุที่แออัด และห้อมล้อมด้วยอารมณ์แม่เหล็กแรงสูง ความคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ยากที่จะสลายมากกว่าความคิดกลุ่มความรักและเมตตา ความคิดยังมีแรงดึงดูดเข้าหากันกับทุกความคิดอื่นๆที่คล้ายกันในมิติที่ 4 ขั้นต้น

เหมือนสนามแม่เหล็กที่อยู่รอบตัวเรา คำพูดที่ได้ยินว่า "ฉันรับไม่ได้" "เธอมันไม่ได้เรื่อง" ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเราเลย แต่มันมีอำนาจดึงดูดรุนแรงของความคิดไร้สำนึกที่เหนี่ยวนำตัวเองเข้าหาความคิดหนักๆไร้สำนึกที่คล้ายกัน 

คุณจะเริ่มเห็นว่าทำไมมันจึงสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะสร้างจิตสำนึกทางความคิดที่คุณคิดและอารมณ์ที่คุณโยนลงส่วนผสมของพลังสั่นสะเทือนของคุณ 

โชคดีที่คลื่นลูกที่สองของการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้มันง่ายขึ้นเรื่อยๆ เพียงเราปลดปล่อยพลังงานที่หนักกว่าที่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา แสงสว่างก็จะตัดต่อวงจรเราให้ใหม่ พาเราก้าวขึ้นมาสู่การสั่นสะเทือนของมิติที่ 4 ขั้นสูง ที่คิดและอารมณ์เล็กน้อยไม่สามารถรบกวนประสบการณ์ทั่วไปของเรา

เราเริ่มที่จะใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับหัวใจ(ไม่ใช่สมอง -ผู้แปล) และรับประสบการณ์การสั่นสะเทือนและผลกระทบจากความคิดเช่น 'ฉันรักตัวเอง','ฉันมีความสุข','ฉันยินดีกับตัวเอง.'

ความสอดคล้องกับหัวใจจะกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะมันเป็นความสอดคล้องตามธรรมชาติของของมิติที่ 4 ขั่นสูง และ มิติที่ห้าและที่หกด้วย 

แต่กระนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่ต้องทำ 

ข้อจำกัด การพิพากษา ปฏิเสธ กล่าวโทษ ความรู้สึกผิด หรือ ความขุ่นข้องหมองใจทั้งหลาย ที่เรายังคงถกเถียงกัน จะกลายเป็นตุ้มถ่วงน้ำหนักของบอลลูนอากาศร้อน มันจะถ่วงเราไม่ให้สั่นสะเทือนสูงขึ้นในช่วงความถี่ของมิติที่ 4

เราแต่ละคนเป็นผู้รับผิดชอบในกระบวนการนี้เองเต็ม 100 ยิ่งถ่วงน้ำหนักมาก รูปแบบการสั่นสะเทือนของคำพูด ความคิด และอารมณ์ ก็จะยิ่งต่ำลง แต่ถ้ายิ่งเอาตุ้มน้ำหนักออก เราจะยิ่งรับประสบการณ์ที่กว้างขวางจากการลอยตัวสูงขึ้นของมิติที่ 4 ที่ที่เรามองที่ข้ามขอบเขตและข้อจำกัดที่มีนิสัยในแบบ 3 มิติ มันเป็นมุมมองที่กว้าง แต่ในมิติที่ 4 ขั้นสูงมุมมองจะเปิดกว้าง สันติสุข และ สงบเงียบกว่า คุณจะเลือกความกลัวหรือความกังวลแล้วเลื่อนลงมาอยู่มิติที่ 4 ขั้นต้นก็ได้ ... แต่คุณจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก

เมื่อคุณเริ่มมีชีวิตสอดคล้องหัวใจ ตามธรรมชาติของ - 'ฉันรักตัวเอง' - คุณจะพบว่าไม่มีเหตุผลหรือการบังคับให้เลือกจุดความสนใจที่น่าอึดอัดซึ่งอยู่ในมิติที่ 4 ขั้นต้น มันมาตามธรรมชาติและเกิดง่ายๆเพราะมันเป็นภาษาและการสั่นสะเทือนของคุณตามธรรมชาติอันดีอยู่แล้ว -- ที่คุณต้องทำคือยอมให้มันเกิดขึ้นและใส่ใจ

มันเป็นทางเลือก

ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นด้วยอัตราเร่ง (เร็วขึ้นเรื่อยๆ) เวลา(เชิงเส้น)ก็ยุบตัวลง โดยมีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น คุณยังสามารถเลือกคิดและเลือกความรู้สึกของคุณโดยไม่รู้ตัวจากนิสัย 3 มิติ และคุณจะได้โอกาสที่จะใช้ชิวิตอันน่าไม่สบายในทันทีและอย่างเต็มที่ในประสบการณ์ของคุณ

หรือคุณสามารถเลือกความคิดและอารมณ์ของคุณในทุกช่วงเวลา ด้วยความชัดเจน ความตระหนักรู้ และใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมกับประสบการณ์นั้นๆ

พูดอีกแบบก็คือ มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคุณ ที่จะได้ฝึกซ้อมปฏิบัติและบูรณาการควบรวมความสามารถในการเลือกเนื้อหาของสำนึกของคุณตอนนี้ ก่อนจะถึงเวลาเล่นจริงๆ และช่วงเวลานั้นก็อยู่ไม่ไกลแล้ว 

ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับคุณ 

จนถึงขณะนี้..ในหัวของคุณ ที่ที่คุณสามารถเลือกความคิดและจุดสนใจ ที่ถูกยึดครองโดยความคิดของคนอื่นๆมาก่อน คุณพ่อ คุณแม่ ครู และพระ รักคุณ และมีความเห็นเกี่ยวกับวิธีใช้ชีวิตที่ดีที่สุดของคุณ และขณะที่ความคิดของเขาย้ายไปในที่หัวของคุณ "คุณก็ระเห็ดออกมา"

ตอนนี้ถึงเวลาเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในศูนย์กลางของหัวของคุณ ในขณะที่คุณรับรู้(จ๊ะเอ๋)และปลดปล่อย(บ๊ายบาย)ความคิดฝืนธรรมชาติที่ว่า 'โอ้ว..ฉันทำแบบนี้ไม่ได้'  'ฉันทำแบบนั้นก็ไม่ได้' และ 'ฉันจะต้องทำอย่างนี้แหละ' และไม่นานความคิดเหล่านั้นก็จะหายไป พร้อมกับกับโซ่ตรวนที่ใช้ล่ามคุณไว้ในมิติที่ 4 ขั้นต้น

การพุ่งความสนใจในปัจจุบันไปที่ 'ความงดงาม' 'ความเป็นอยู่ที่ดี' หรือเพียงแค่ 'ความเป็นสุขจากความเป็นอยู่ง่ายๆ' จะกำจัดลบล้างการสั่นสะเทือนความถี่ต่ำที่ถูกักเก็บไว้ในโลกทิพย์ (Astral Field) แห่งมิติที่ 4 ชั้นต้น

เริ่มต้นด้วยการเล่นกับการสั่นสะเทือนของสิ่งที่ผมเรียกว่า คำ(ที่)มีชีวิต ทูตสวรรค์ได้จงใจ และเจาะจงคำเหล่านี้ คำบางคำเช่น แน่นอน(Certain) สามารถ(Capable) บัญชาการ(Commanding) ปัจจุบัน(Present) ท่านผู้อาวุโส(Senior) ,หาการุณ(Graciousness) และ ความสุข(Happy) -- เพื่อให้คุณล้างการสั่นสะเทือนอันดสำนึกของคุณได้อย่างง่ายๆ

เลือกหนึ่งคำในแต่ละวันและอยู่กับมันทุกวัน คิดและรู้สึกถึงบ่อยๆ

ถ้าคุณซ้อมคิดและรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเหล่านี้ตอนนี้ คือก่อนที่จะถึงเวลาเอาจริง เมื่อเวลาจริงมาถึง มันก็เป็นนิสัยของคุณไปแล้ว

คุณเริ่มที่จะปรับตัวให้เข้ากับตัวเต็ม(fullness)ของคุณได้อย่างสง่างาม สภาพธรรมชาติของสุขภาวะที่ดีก็จะยกคุณขึ้นสู่้มิติที่ 4 ขั้นสูง

ง่ายมั้ย...ก็ไม่ยาก
ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย...ใช่

แน่นอน...สิ่งนี้ต้องใช้ทั้งความตระหนักรู้ และการเลือกในแต่ละปัจจุบันขณะ 

คุณขอนั่งดูอยู่ข้างสนามและหวังว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเองได้มั้ย.. ไม่มีวัน

ระดับที่เพิ่มขึ้นของแสงแม่เหล็กไฟฟ้าจากมิติที่สูงขึ้นกำลังไหลอยู่ภายในตัวเราทุกคนแล้ว หลายๆคนในมิติที่ 3 ไม่สามารถรับการกระชากของพลังงานเหล่านี้ได้ และพวกเขาก็เลือกที่จะก้าวออกจากร่างกายของพวกเขาไป

และจะมีอีกหลายๆคน มากขึ้นๆที่จะทำทำเช่นนั้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นด้วยอัตราเร่ง

ผมจะบอกให้ว่า..ทุกคนจะต้องกลับบ้านไปยังมิติที่ 4 และมิติที่ 5 แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะ่สามารถกลับบ้านในระยะเวลาเดียวกันด้วยความสะดวกและสง่างามเหมือนๆกัน

คุณจะเลือกอย่างไรหละ

ขออำนวยพร

จิม เซลฟ์